"อาคม"ชี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย
"อาคม"ชี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่ปรับสูงขึ้นในช่วงโควิด-19เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่ ประเมินจีดีพีปีนี้โตได้ 4% แต่ยังไม่ถือว่า เป็นอัตราการขยายตัวที่สูง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุ ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจในปีนี้ จะมาจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกังวลอยู่ นอกจากนี้สำหรับไทยแล้วยังมีประเด็นการเพิ่มสูงขึ้นของระดับหนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะของรัฐบาล ซึ่งในช่วงโควิด-19นั้น ภาระหนี้ทั้งสองตัวนี้ของไทยปรับสูงขึ้น อีกประเด็นหนึ่งคือ ปัญหาเรื่อง supply chain ของโลก ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บางโรงงานถูกปิด และส่งผลให้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดแคลนชิ้นส่วนที่สำคัญในการผลิต
ทั้งนี้เขากล่าวระหว่างการบรรยายในหัวข้อระบบเศรษฐกิจไทยกับการบริหารนโยบายการคลังของประเทศ ให้กับข้าราชการที่เข้ามาอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง
เขากล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงิน โดยออกพ.ร.ก.กู้เงินถึง1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 จนทำให้ระดับหนี้สาธารณของรัฐาล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 59% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะเป็นไม่เกิน 70%ของจีดีพี จากเดิม ไม่เกิน 60%ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า รัฐบาลไม่สามารถจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้อย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องลดขนาดของการขาดดลลง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณ โดยหน่วยงานของรัฐที่มีงบลงทุนในปีงบประมาณจะต้องใช้จ่ายงบลงทุนให้หมดในปีงบประมาณนั้น ประการต่อมา คือ การเพิ่มรายได้ของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในอัตรา0.11% ของการขายในแต่ละครั้งและภาษีรายได้จากการขายคริปโต และสุดท้ายคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บเพื่อลดการรั่วไหลของภาษี
สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยนั้นเขากล่าวว่า หลายหน่วยงานที่พยากรณ์เศรษฐกิจไทย มีความเห็นตรงกันว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ 4% ฟื้นตัวจากปีที่แล้วที่ขยายตัวเพียง 1%
ทั้งนี้ ทั้งธนาคารโลก IMF TDRI. ADB ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4% แม้จะขยายตัวสูงกว่าปีที่แล้ว แต่การขยายตัวในระดับ 4%ในปีนี้ยังถือว่า ไม่ได้เป็นการขยายตัวในระดับที่สูง เนื่องจาก รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ จากปกติที่เรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปีละ 40 ล้านคนทำรายได้ให้ประเทศปีละ 2 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือ 7 แสนคน ในปี 2564 และคาดว่าปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้าประเทศราว 7 ล้านคนเท่านั้น
เขากล่าวว่า ในปีที่แล้วที่เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ 1% นั้น เป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่สามารถขยายตัวได้15-20% ทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวเป็นบวกได้ แทนที่จะขยายตัวติดลบ
เขายังกล่าวถึงข้อเรียกร้องที่ต้องการให้กระทรวงการคลังลดภาษีน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บที่ 5 ถึง 6 บาทต่อลิตรว่า หากรัฐบาลลดภาษีน้ำมันดีเซลลงมาจะทำให้รัฐบาลขาดรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่ งบประมาณปี 2565 รัฐบาลมีรายได้เพียง 2.47ล้านล้านบาทขาดดุลอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท
เขากล่าวว่า มาตรการลดภาษีน้ำมันจะต้องเป็นมาตรการสุดท้าย โดยในขณะนี้เรามีกองทุนน้ำมันที่ช่วยรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของสินค้า โดยมีนโยบายที่ต้องตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน 30บาท/ลิตร ซึ่งกองทุนน้ำมันสามารถกู้เงินมาช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันได้ แต่หากกองทุนกู้ยืมจนชนเพดานที่สามารถกู้ได้แล้ว เราจึงมาดูเรื่องการใช้มาตรการภาษี
เขากล่าวว่า ในอดีตรัฐบาลเคยมีการลดภาษีน้ำมัน เพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงถึงระดับ 100เหรียญต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ระดับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่80เหรียญในเวลานี้ เป็นผลมาจากปัญหาวิกฤตการณ์ในยูเครน และประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ซึ่งตกลงร่วมกันจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าระดับราคาน้ำมันดิบจะสามารถปรับตัวลดลงได้หลังจากนี้