ห้องเม่าปีกเหล็ก

ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย

โดย บุปผาวดี
เผยแพร่ :
73 views

"อาคม"ชี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย

"อาคม"ชี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่ปรับสูงขึ้นในช่วงโควิด-19เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจ​ ขณะที่​ ประเมินจีดีพีปีนี้โตได้​ 4% แต่ยังไม่ถือว่า​ เป็นอัตราการขยายตัวที่สูง​

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุ ปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจในปีนี้ จะมาจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกกังวลอยู่ นอกจากนี้สำหรับไทยแล้วยังมีประเด็นการเพิ่มสูงขึ้นของระดับหนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะของรัฐบาล  ซึ่งในช่วงโควิด-19นั้น​ ภาระหนี้ทั้งสองตัวนี้ของไทยปรับสูงขึ้น  อีกประเด็นหนึ่งคือ ปัญหาเรื่อง supply chain ของโลก ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บางโรงงานถูกปิด และส่งผลให้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ขาดแคลนชิ้นส่วนที่สำคัญในการผลิต

ทั้งนี้เขากล่าวระหว่างการบรรยายในหัวข้อระบบเศรษฐกิจไทยกับการบริหารนโยบายการคลังของประเทศ ให้กับข้าราชการที่เข้ามาอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง

 

เขากล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจำเป็นต้องกู้เงิน โดยออกพ.ร.ก.​กู้เงินถึง1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 จนทำให้ระดับหนี้สาธารณของรัฐาล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 59% ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะเป็นไม่เกิน 70%ของจีดีพี จากเดิม ไม่เกิน 60%ของจีดีพี

อย่างไรก็ตาม​ เขากล่าวว่า รัฐบาลไม่สามารถจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้อย่างต่อเนื่องจำเป็นต้องลดขนาดของการขาดดลลง  ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณ โดยหน่วยงานของรัฐที่มีงบลงทุนในปีงบประมาณจะต้องใช้จ่ายงบลงทุนให้หมดในปีงบประมาณนั้น  ประการต่อมา​ คือ การเพิ่มรายได้ของรัฐบาล  ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในอัตรา0.11% ของการขายในแต่ละครั้งและภาษีรายได้จากการขายคริปโต  และสุดท้ายคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บเพื่อลดการรั่วไหลของภาษี

สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยนั้นเขากล่าวว่า  หลายหน่วยงานที่พยากรณ์เศรษฐกิจไทย มีความเห็นตรงกันว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ 4% ฟื้นตัวจากปีที่แล้วที่ขยายตัวเพียง​ 1%

ทั้งนี้​ ทั้งธนาคารโลก IMF TDRI. ADB ธนาคารแห่งประเทศไทย  และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4% แม้จะขยายตัวสูงกว่าปีที่แล้ว  แต่การขยายตัวในระดับ​ 4%ในปีนี้ยังถือว่า​ ไม่ได้เป็นการขยายตัวในระดับที่สูง  เนื่องจาก​ รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ จากปกติที่เรามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปีละ​ 40​ ล้านคนทำรายได้ให้ประเทศปีละ 2 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือ​ 7​ แสนคน​ ในปี​ 2564 และคาดว่าปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้าประเทศราว​ 7​ ล้านคนเท่านั้น

เขากล่าวว่า  ในปีที่แล้วที่เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้​ 1% นั้น  เป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่สามารถขยายตัวได้15-20% ทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวเป็นบวกได้  แทนที่จะขยายตัวติดลบ

เขายังกล่าวถึงข้อเรียกร้องที่ต้องการให้กระทรวงการคลังลดภาษีน้ำมันดีเซล  ที่ปัจจุบันเก็บที่ 5 ถึง​ 6 บาทต่อลิตรว่า  หากรัฐบาลลดภาษีน้ำมันดีเซลลงมาจะทำให้รัฐบาลขาดรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อเดือน  ในขณะที่​ งบประมาณปี 2565 รัฐบาลมีรายได้เพียง 2.47ล้านล้านบาทขาดดุลอยู่ที่​ 7​ แสนล้านบาท

เขากล่าวว่า มาตรการลดภาษีน้ำมันจะต้องเป็นมาตรการสุดท้าย โดยในขณะนี้เรามีกองทุนน้ำมันที่ช่วยรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนของสินค้า โดยมีนโยบายที่ต้องตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน 30บาท/ลิตร  ซึ่งกองทุนน้ำมันสามารถกู้เงินมาช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันได้ แต่หากกองทุนกู้ยืมจนชนเพดานที่สามารถกู้ได้แล้ว เราจึงมาดูเรื่องการใช้มาตรการภาษี

เขากล่าวว่า ในอดีตรัฐบาลเคยมีการลดภาษีน้ำมัน  เพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงถึงระดับ 100เหรียญต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม​ ระดับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่80เหรียญในเวลานี้ เป็นผลมาจากปัญหาวิกฤตการณ์ในยูเครน  และประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก  ซึ่งตกลงร่วมกันจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น  แต่ยังไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย  อย่างไรก็ตามเชื่อว่าระดับราคาน้ำมันดิบจะสามารถปรับตัวลดลงได้หลังจากนี้

 


บุปผาวดี