ห้องเม่าปีกเหล็ก

โอกาสที่เศรษฐกิจถดถอยลดลง แต่การลงทุนยังมีความเสี่ยงอยู่มาก

โดย หยินหยาง
เผยแพร่ :
111 views

โอกาสที่เศรษฐกิจถดถอยลดลง แต่การลงทุนยังมีความเสี่ยงอยู่มาก

By ดนัย อรุณกิตติชัย, CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารกองทุน บลจ. บัวหลวง

 

 

ผ่านไปแล้วเกือบสองเดือนสำหรับปี 2023 ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังเป็นช่วงที่ดีของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นต่างประเทศ แม้ว่าในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อน

แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว ในขณะที่ปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนภาวะตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมาคือเรื่องของแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ชะลอตัวเท่าที่เคยคาดและกังวลกัน รวมถึงเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดสำคัญที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้

จากเดิมที่คาดว่าในปีนี้ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ค่อนข้างแน่ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจอาจจะไม่ชะลอตัวเท่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดไว้ ในช่วงปลายปีที่แล้วว่าปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 0.3%

เศรษฐกิจยุโรปปี 2023 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.4% จากเดิมที่เคยมองไว้ว่าจะติดลบที่ -0.1% จีนคาดไว้ 5.2% เทียบกับ 4.8% ในช่วงก่อนหน้า จะเห็นได้ว่าภายในระยะเวลาราวสองเดือนที่ผ่านมาภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้มีมุมมองที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยแม้อัตราการขยายตัวในจะต่ำกว่าปีที่แล้วมาก แต่การลงทุนจะผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงมากกว่า เช่น การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกก็จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นดังเช่นที่เห็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นต้น โดยภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) น่าจะดีที่สุดสำหรับตลาดการลงทุนในช่วงข้างหน้า

นอกจากนั้นดูเหมือนว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสำหรับในไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ทยอยประกาศออกมาแล้วก็ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดในภาพรวม เช่น ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปัจจุบันประกาศผลประกอบการมาแล้ว 407 บริษัท หรือราวๆ 80% (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ก.พ. 65 จาก Bloomberg) ภาพรวมออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ราว 1.6% นำโดยกลุ่ม Consumer Discretionary ที่ผลกำไรต่อหุ้นสูงกว่าที่คาด 13.3%

 

โดยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังคงได้รับบวกจากเรื่องของอุปสงค์คงค้าง (Pent-up Demand) ถัดไปได้แก่ กลุ่ม Health Care (5.7%) และกลุ่ม Materials (5.0%) ในขณะที่กลุ่มที่ผิดหวังได้แก่ Utilities (-8.2%) และกลุ่ม Communications (-8.0%) เป็นหลัก ในขณะที่หุ้นยุโรปน่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนมากกว่าเสียด้วยซ้ำ โดยล่าสุดบริษัทจดทะเบียนในดัชนี EUROSTOXX600 มีการประกาศผลประกอบการออกมาแล้วราวๆ ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด โดยผลกำไรต่อหุ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ราว 8.4%

ซึ่งนับเป็นปัจจัยบวกท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดัชนีหลักๆ ที่ปรับตัวขึ้นมาก ได้แก่ ดัชนี NASDAQ ของสหรัฐ (12.6%) ดัชนี EUROSTOXX600 ของยุโรป (9.3%) และดัชนี CSI300 ของจีน (8.5%) ซึ่งหากสังเกตจะพบว่าล้วนแล้วแต่เป็นดัชนีที่ติดลบค่อนข้างมากในปีที่แล้ว และเป็นการสะท้อนความกังวลที่ลดลงของนักลงทุนอย่างชัดเจน

ส่วนประกอบสำคัญทั้งในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจและการประกาศผลประกอบการนับเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างผลกระทบ หรือ Sentiment ในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี แต่ในระยะข้างหน้าหากทั้งตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีแนวโน้มบวกต่อเนื่อง ก็อาจจะทำให้ความกังวลเรื่องของเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง

รวมถึงแนวโน้มของดอกเบี้ยนโยบายด้วย เช่น ล่าสุดจากที่เคยมองไว้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงต้นไตรมาส 4 ปี 2566 (สะท้อนจาก Fed Fund Futures ข้อมูลจาก Bloomberg) ณ ปัจจุบันก็ถูกขยับออกไปเล็กน้อยเป็นปลาย ธ.ค. ถึงต้นปี 2567 รวมถึงการคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ น่าจะสูงสุดในช่วง 5.00% ก็เป็น 5.18% ซึ่งเพียงแค่นี้ก็จะสังเกตุเห็นได้ว่าตลาดหุ้นในช่วงหลังเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบและเริ่มมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในตลาดการเงิน ไม่นับกรณีหากเงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้งก็จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมาก

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นยังความเปราะบางอยู่มากและต้องระมัดระวังให้ดี เนื่องจากหากตัวเลขเศรษฐกิจดี ปัญหาเรื่องของแรงกดดันเงินเฟ้อก็จะกลับมาอีกครั้ง หรือหากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็จะกลับมาเป็นประเด็นแทน ซึ่งไม่ว่าทางไหนก็ดูจะเป็นปัจจัยกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงได้ทั้งนั้น

บ่อยครั้งที่เหตุการณ์หนึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในลักษณะที่แตกต่างกันเนื่องจากภาวะแวดล้อมโดยรวมที่ต่างกัน รวมถึงมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยต่างๆ ณ ขณะนั้นๆ ทำให้ในฐานะนักลงทุนจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจทั้งในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานและมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีในขณะนั้นๆ ควบคู่กันไปด้วย ดังเช่นในรอบนี้ที่ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังกันอยู่ และกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับภาวะในช่วงนี้ยังคงหนีไม่พ้นการกระจายความเสี่ยงและการ Rebalance พอร์ตฟอลิโอให้อยู่ในสัดส่วนที่ต้องการเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ สอดคล้องกับความผันผวนในปัจจุบัน

หมายเหตุ บทวิเคราะห์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานต้นสังกัดแต่อย่างใด

 

 


หยินหยาง