กลยุทธ์บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ เสียภาษีน้อยนิดในไทย - BillionMoney

เราอาจจะเคยสังเกตเห็นกันมาบ้างว่า มีบริษัทจากต่างประเทศหลายที่ ที่เรามักไม่ค่อยคุ้นชื่อ มาจดทะเบียนตั้งบริษัทลูก เพื่อทำธุรกิจในประเทศไทย
บริษัทหลายเจ้า ที่ทำธุรกิจอยู่ในรูปแบบบริการออนไลน์
ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจงอีกต่างหาก
ทำให้เราก็อาจจะไม่ค่อยได้คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์และบริการ ของบริษัทเหล่านี้สักเท่าไร
คำถามแรกเลยก็คือ ทำไมบริษัทเหล่านี้
ถึงต้องมา จัดตั้งบริษัทในประเทศไทย ?
BillionMoney จะมาย่อยให้เข้าใจ แบบง่าย ๆ
เหตุผลก็เพราะ ประเทศไทยมีแรงงานทักษะสูงอยู่เป็นจำนวนมาก บวกกับมีค่าครองชีพที่ต่ำ
บริษัทเหล่านี้ สามารถเสียค่าจ้างพนักงานในราคาที่ถูก หากมาทำธุรกิจในประเทศไทย
นอกจากนี้ หากวางโครงสร้างการทำธุรกิจให้ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ บริษัทเหล่านี้ ก็ยังสามารถประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายไปได้อีกเยอะด้วย
หากสงสัยว่า วิธีการที่บริษัทต่างชาติใช้ เพื่อให้ได้เสียภาษีน้อย และลดค่าใช้จ่ายให้ต่ำเป็นอย่างไร
เราลองมาดูตัวอย่างจากบริษัทหนึ่ง ที่ทำธุรกิจวารสารงานวิจัย ที่มาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทลูก ในประเทศไทย
โดยบริษัทนี้ แท้จริงแล้ว มีเจ้าของคือ “คนจีน”
วิธีการของบริษัทนี้ จะเริ่มต้นโดยการไปตั้งบริษัทแม่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เวลาทำการโอนเงินเข้า-ออก
อย่างที่เรารู้กันว่า ประเทศอย่างสวิตเซอร์แลนด์ มีชื่อเสียงในด้าน เป็น “ดินแดนปลอดภาษี”
ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั่วโลก เลือกมาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่นี่
ดังนั้น กลยุทธ์ที่บริษัทแห่งนี้ใช้ จึงเริ่มจาก การจัดตั้งบริษัทแม่ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก่อน
เราขอสมมติว่าชื่อ บริษัท A
หน้าที่หลักของบริษัท A ก็เปรียบเสมือนการเป็น Holding Company ที่มีบริษัทลูก กระจายอยู่ทั่วโลก เต็มไปหมด
เวลากลุ่มบริษัทได้รับรายได้ ก็จะได้รับผ่านบริษัท A
เป็นเงินสกุลฟรังก์สวิส หรือ CHF ที่มีความมั่นคงสูง
โดยบริษัท A ก็จะเลือกไปตั้งบริษัทลูก ในประเทศที่มีค่าจ้างไม่แพงเท่าไร แต่มีแรงงานทักษะสูงอยู่ เช่น ในประเทศไทย
โดยบริษัทลูก ขอสมมติว่าชื่อ บริษัท B
หลังจากนั้น บริษัท B ก็จะทำการจ้างคนในประเทศไทย
ให้มาทำงานให้ โดยเนื้อหางานหลัก ๆ ของกลุ่มบริษัท
ก็จะทำกันผ่านระบบออนไลน์อยู่แล้ว
โดยกระบวนการทำงานของกลุ่มบริษัท จะเป็นอย่างนี้
- เมื่อบริษัท A ได้รับงานวิชาการ ที่ส่งมาจากบรรดานักวิจัยทั่วโลก
- บริษัท A ก็จะส่งงานวิจัยเหล่านี้ ไปให้บริษัท B จัดการต่อไป
โดยบริษัท B ก็จะทำหน้าที่ อย่างเช่น การจัดการตามกระบวนการ เพื่อทำให้งานวิชาการเหล่านั้น ได้รับการตีพิมพ์ต่อไป
- เมื่อบริษัท B ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ ก็จะส่งงานเหล่านั้นกลับไปให้บริษัท A
- เมื่อบริษัท A ได้รับงานกลับมาแล้ว ก็จะถึงขั้นตอนที่เรียกเก็บเงินจากลูกค้า และนำงานวิจัยเหล่านั้น ตีพิมพ์ต่อไป
สมมติว่า บริษัท A คิดค่าบริการต่อ 1 งานวิชาการที่ตีพิมพ์
เท่ากับ 90,000 บาท
โดยเฉลี่ย บริษัท A สามารถตีพิมพ์งานวิชาการ ได้วันละ 400 งาน เท่ากับว่า ใน 1 ปี บริษัท A จะมีรายได้ประมาณ 13,140 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัท B นั้น จะมีรายได้ทางเดียว
จากแค่เงินโอนมาจากบริษัท A เท่านั้น
โดยบริษัท B ก็จะมีภาระค่าใช้จ่ายแค่ 2 เรื่อง แบ่งออกเป็น
- ค่าเช่าสถานที่ทำงาน และค่าอุปกรณ์
- ค่าจ้างพนักงาน
สมมติว่า มีพนักงาน 300 คน พนักงานแต่ละคนมีค่าจ้าง ตกแค่คนละ 35,000 บาทต่อเดือน
รวมกันเป็น 126 ล้านบาทต่อปี
มีค่าเช่าสถานที่ทำงาน และค่าอุปกรณ์ รวม 7 ล้านบาทต่อปี
เท่ากับว่า บริษัท B จะรับรู้ภาระค่าใช้จ่ายต่อปี ไว้อยู่แล้วที่
133 ล้านบาท
ทีนี้ พอบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทแม่ สามารถรับรู้ได้อยู่แล้วว่า บริษัท B มีภาระค่าใช้จ่ายเท่าไร
ก็มีความเป็นไปได้ว่าบริษัท A จะโอนเงินมาให้บริษัท B พอ ๆ กับค่าใช้จ่ายของบริษัท B นั่นเอง
โดยกฎหมายของประเทศไทย ได้ระบุไว้ว่า สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน เกิน 20 ล้านบาท กำไรทุกบาทที่ได้ จะต้องเสียภาษีที่ 20%
ในกรณีของบริษัท หากได้รับรายได้เป็นเงินโอนจากบริษัท A ที่ประมาณ 133 ล้านบาท
รายได้กับค่าใช้จ่ายก็แทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน
หมายความว่า บริษัท B ก็แทบจะไม่ต้องเสียภาษีเลย
ข้อดีของการวางโครงสร้างของบริษัทแบบนี้ตั้งแต่ต้น จะช่วยให้บริษัท สามารถประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายด้านภาษี และค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างบุคลากร ไปได้เยอะอีกด้วย
ถ้าบริษัท A เลือกไปตั้งบริษัทลูก ในประเทศที่มีอัตราค่าครองชีพสูง ก็อาจจะทำให้ ต้องจ่ายค่าจ้างในอัตราที่สูง
ดังนั้น การไปตั้งบริษัทลูกในประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำ แต่ยังพอมีแรงงานทักษะสูงอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นท่าที่ทำให้บริษัทแม่ สามารถประหยัดค่าจ้างพนักงานออกไปได้อีกหลายเท่าตัว เลยทีเดียว
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็คงพอเข้าใจกลยุทธ์ในการวางโครงสร้างบริษัทของบริษัทต่างชาติที่เราไม่คุ้นเคย แต่จดทะเบียนเป็นบริษัทในบ้านเรา กลับมีรายได้ไม่น้อยเลย
แถมยังมีค่าใช้จ่ายพอ ๆ กับรายได้ กำไรเลยเหลือนิดเดียว ภาษีที่ต้องจ่ายเลยน้อยตามไปด้วย
ซึ่งเราก็อาจจะตั้งข้อสงสัยได้ว่า ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากความตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ..
Reference
-https://sme.krungthai.com/sme/productListAction.action