หุ้น ORI : บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัว ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นหุ้น Growth stock ของกลุ่มอสังหาฯ ราคาหุ้นช่วงต้นปี 2017 อยู่ที่ 5.79 บาท จนมาอยู่ที่ 15.30 บาท ราคาหุ้นเติบโตแรงกว่า 160 % ภายในเวลาเพียง 5 - 6 เดือนเท่านั้น ! ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากทาง ORI ได้ประกาศเปิดตัวคอนโดใหม่ พร้อมกันถึง 4 โครงการ 3 แบรนด์ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท !
โมเดลธุรกิจของ ORI เป็นอย่างไร ?
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1. ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท
2. ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3. ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ผู้บริหารของหุ้น ORI คือ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), และเคนซิงตัน (Kensington) กล่าวว่า ตลอด 8 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2552 บริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และมีก้าวสำคัญใหม่ๆ ทุกปี อาทิ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การมียอดขายทะลุ 1 หมื่นล้านบาท โครงการ KnightsBridge Prime Sathorn วันเดียวขายพรีเซลหมดโครงการมูลค่าโครงการกว่า 3,800 ล้านบาท (รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.origin.co.th/TH/newprojects.php)
“พบว่าเหตุที่ยอดขายตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะโครงการของเราสามารถเข้าถึงตลาดผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม ในแต่ละทำเล ยอดขายหลายๆ โครงการของเราเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในทำเลนั้นๆ กว่า 70% สะท้อนว่าความสุขของลูกค้า คือการได้มีที่อยู่อาศัยในทำเลที่เขาคุ้นเคย ติดรถไฟฟ้า
ที่ผ่านมา คอนโดมิเนียมมักถูกกล่าวถึงในฐานะบ้านหลังที่ 2 ผู้คนมักคิดว่าบ้านหลังที่ 2 ต้องอยู่ในเมือง เพื่อให้ใกล้ที่ทำงานที่สุด แต่นับจากนี้ไปจะไม่ใช่ยุคคนแห่ไปอยู่ในเมือง เพราะโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมอย่างรถไฟฟ้าสามารถกระจายเข้าถึงผู้คนในทุกพื้นที่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลายเป็นบ้านหลังแรกของคนรุ่นใหม่ที่เกิดจากครอบครัวขยายหรือต้องการอยู่ในแนวรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน กล่าวคือเดิมเคยอาศัยอยู่บ้านแนวราบในทำเลไหน พอมีครอบครัวเพิ่มเติม ก็ขยายไปอยู่ในคอนโดมิเนียมทำเลใกล้เคียงเดิม เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในย่านที่คุ้นเคย
ประเทศไทยจะเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ผู้คนไม่ได้คาดหวังว่าต้องดิ้นรนเข้าไปอยู่ในเมือง อาศัยรถไฟฟ้าไปทำงานในแต่ละวัน การเป็นแบรนด์ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในฝันในแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องตามใคร จึงน่าจะเป็นแบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตมากที่สุด
แกะงบการเงินหุ้น ORI
- ณ ปี 2559 มีรายได้อยู่ที่ 3,199 ล้านบาท จากปี 2558 รายได้ที่ 2,055.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมา 1,144 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55.7 % (YoY)
- ขณะที่กำไรสุทธิปี 2559 อยู่ที่ 637.56 ล้านบาท จากปี 2558 อยู่ที่ 386.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 65% (YoY)
- ส่วนอัตราส่วนกำไรขั้นต้น ปี 2558 – 2559 เท่ากับ 42.9%, 45.3% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นมาประมาณ 2.4%
- แต่ว่าอย่าลืมต้องดูด้านต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์ ปี 2559 ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 575.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% YoY ทั้งนี้แปรผันตามยอดขายอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้น
ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเป็นอย่างไร
สำหรับไตรมาส 1Q60 อยู่ที่ 877.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1Q/59 หรือเพิ่มขึ้น 65% โดยที่รายได้หลักคิดเป็น 98.3% ของรายได้รวม มาจากรายได้จากการขายอสังหาฯ ส่วนที่เหลือมาจากรายได้อื่น ๆ
- อัตราส่วนทางการเงินที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ
- อัตราส่วนผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เฉลี่ย 3 ปีล่าสุด (ปี 58-1Q60) อยู่ที่ 38.87%
- อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) เฉลี่ย 3 ปีล่าสุด (ปี 58-1Q60) อยู่ที่ 19.43%
ซึ่งถือได้ว่าเป็นอัตราส่วนที่ดี เมื่อลองเทียบกับในหุ้นหลายๆ ตัวในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จึงได้รับการจับตามองว่าเป็นหุ้นที่เติบโตได้ดี (Growth stock) เทียบกับธุรกิจในกลุ่มอสังหาฯ ที่ขนาดใกล้เคียงกันที่ราคาช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยไปขยับไปไหนมากนัก
ประเด็นเรื่องการลงทุน
ORI ต่อยอดธุรกิจ หลังเผยรายละเอียดการเข้าซื้อ พราวด์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ โครงการ Park 24 (ซอยสุขุมวิท 24) คาดช่วยเสริมธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถือได้ว่าเป็นการรุกตลาดอสังหาฯ สู่คอนโดระดับ Hi-end และเป็นการขยายฐานรายได้ และกำไรสุทธิ โดยพิจารณาที่จำนวน backlog ของทั้งพราวด์ และ ORI คาดว่าหลังจากดีลนี้สำเร็จ ORI น่าจะเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มี Backlog คอนโดมิเนียมที่พร้อมรับรู้รายได้สูงติด Top 5 ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชั้นนำของไทย
ปัจจัยความเสี่ยงที่นักลงทุนเฝ้าระมัดระวังไว้ก่อน
หุ้น ORI ขณะนี้ยังมีแหล่งรายได้หลักมาจากการขายคอนโดมิเนียม ซึ่งอาจมีความเสี่ยง เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่นๆ ที่พัฒนาอสังหาแบบครบวงจร
ทั้งนี้จากการที่ หุ้นออริจิ้น ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการจัดทำแคมเปญภายใต้แนวคิด “My Life. My Origin” หรือ “ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ” เพื่อให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สะท้อนตัวตนของแบรนด์โดดเด่นยิ่งขึ้น หลังเติบโตก้าวอย่างต่อเนื่องตลอด 8 ปี เชื่อหมดยุคคนแห่อยู่ในเมือง ถึงยุคใช้ชีวิตแบบเป็นตัวเองในถิ่นทำเลที่คุ้นเคย พร้อมดึง “ณเดชน์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ สะท้อนภาพลักษณ์บริษัทและคอนโดทั้ง 3 แบรนด์ของบริษัท
สรุป
ภาพรวมของหุ้น ORI โดยการวิเคราะห์ดูด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแล้วถือได้ว่าเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากมีความโดดเด่นในตลาดคอนโดมีเนียม และเตรียมขยายไปยังตลาดระดับบนต่อไป นอกจากนั้นบริษัทยังมีธุรกิจให้บริการ และธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างรายได้ต่อเนื่อง เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคตได้ต่อไป ซึ่งธุรกิจโรงแรมถือเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักผู้สนใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม และดูช่วงจังหวะในการลงทุนให้เหมาะสม เพราะว่าราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี 2017 เป็นต้นมา ถือได้ว่า growth stock แล้วอย่างไรก็ดีราคาหุ้นจะสามารถไปต่อได้อีกหรือไม่นั้น นักลงทุนต้องติดตามกันไปในระยะยาว ดังนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเชิงลึก เพื่อใช้ในการวางแผนการลงทุนก่อนทุกครั้ง และตัดสินใจลงทุนต่อไป