ห้องเม่าปีกเหล็ก

World Today: ประเด็นข่าวต่างประเทศน่าติดตามวันนี้

โดย world
เผยแพร่ :
48 views

World Today: ประเด็นข่าวต่างประเทศน่าติดตามวันนี้

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

 

ตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มเปิดตลาดอ่อนแรงลงในวันนี้ (4 ส.ค.) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินคาด

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 106,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.1% ในเดือนมิ.ย.

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนมิ.ย.เป็นเพิ่มขึ้นเพียง 14,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้นมากถึง 147,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ค.เป็นเพิ่มขึ้นเพียง 19,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้นมากถึง 125,000 ตำแหน่ง

-- ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 67 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ (4 ส.ค.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรล/วัน ในเดือนก.ย.

ณ เวลา 06.44 น.ตามเวลาไทย ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย. ปรับตัวลง 40 เซนต์ หรือ -0.59% แตะที่ 66.93 ดอลลาร์/บาร์เรล

กลุ่มโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรล/วัน ในเดือนก.ย. หลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายในวันอาทิตย์ (3 ส.ค.) โดยระบุว่าสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนก.ย.นั้น มาจากภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและสต็อกน้ำมันที่ระดับต่ำ

ก่อนหน้านี้ สมาชิก 8 ชาติของกลุ่มโอเปกพลัส ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต โอมาน อิรัก คาซัคสถาน และแอลจีเรีย ได้ปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเพื่อพยุงราคาน้ำมันในตลาด แต่ในปีนี้ โอเปกพลัสได้เริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีเพื่อกลับมาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดอีกครั้ง และเนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เรียกร้องให้โอเปกปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้สูงเกินไป

-- นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เรียกร้องให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทั่วโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น

นายกฯ อินเดียมีถ้อยแถลงดังกล่าวระหว่างการปราศรัยในรัฐอุตตรประเทศเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ โดยแม้ว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาโดยตรง แต่ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตรา 25% และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอีกหลายประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของตลาด

-- โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ได้ปรับแผนเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ทั่วโลกสำหรับปี 2568 เป็น 10 ล้านคันโดยประมาณ ซึ่งจะถือเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่โตโยต้าผลิตรถยนต์ทะลุ 10 ล้านคัน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ในเบื้องต้น โตโยต้าตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์ทั่วโลกไว้ที่ 9.9 ล้านคันสำหรับปี 2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา แต่ยอดขายรถยนต์กลับแข็งแกร่ง

โตโยต้าผลิตรถยนต์ทั่วโลกทะลุ 10 ล้านคันเป็นครั้งแรกในปี 2566 โดยแตะระดับ 10.03 ล้านคัน หลังผลกระทบจากการขาดแคลนชิปทั่วโลกคลี่คลายลง

-- นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า อินเดียยังคงเดินหน้าซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อไป แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้มาตรการลงโทษ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอินเดียสองรายยืนยันว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในนโยบาย และรัฐบาลไม่ได้สั่งให้บริษัทน้ำมันลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียแต่อย่างใด

รายงานยังระบุว่า รัสเซียเป็นผู้จัดส่งน้ำมันรายใหญ่ที่สุดให้แก่อินเดีย โดยคิดเป็นประมาณ 35% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด ขณะที่เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์เคยประกาศขู่จะเก็บภาษีนำเข้า 100% จากประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากรัสเซียไม่ยอมบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์โพสต์ผ่าน Truth Social ว่า อินเดียอาจต้องเผชิญกับบทลงโทษเพิ่มเติม หากยังคงซื้ออาวุธและน้ำมันจากรัสเซีย แต่ภายหลังก็กล่าวว่า เขาไม่ได้ใส่ใจว่าอินเดียจะมีท่าทีอย่างไรต่อรัสเซีย

-- ศาลรัฐฟลอริดาสั่งให้บริษัทเทสลา (Tesla) จ่ายค่าเสียหาย 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐในคดีอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในปี 2562 โดยคณะลูกขุนตัดสินว่า รถ Model S ที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autopilot) มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ และคำตัดสินอาจกระตุ้นให้มีคดีความอื่น ๆ ตามมาเกี่ยวกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของอีลอน มัสก์มากขึ้น

คณะลูกขุนที่ศาลแขวงไมอามีอนุมัติให้ทายาทของนาเบล เบนาวีเดส เลออน และอดีตแฟนหนุ่ม ดิลลอน อังกูโล ได้รับค่าชดเชย 129 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมค่าปรับเชิงลงโทษ 200 ล้านดอลลาร์ โดยเทสลาต้องรับผิดชอบ 33% ของค่าชดเชย หรือประมาณ 42.6 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้ขับขี่ถูกตัดสินให้รับผิดชอบ 67% แต่ไม่ได้เป็นจำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ส่วนนี้

-- บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) กำลังเดินหน้าหาพันธมิตรภายนอกเพื่อร่วมระดมทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยล่าสุดบริษัทได้ยื่นรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) เปิดเผยว่า ได้อนุมัติแผนขายสินทรัพย์ศูนย์ข้อมูลบางส่วนมูลค่า 2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจัดประเภทเป็นสินทรัพย์ "รอขาย" ซึ่งคาดว่าจะโอนให้แก่บุคคลที่สามภายใน 12 เดือนข้างหน้าเพื่อใช้ในโครงการร่วมพัฒนา

กลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในหมู่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่เคยเน้นการเติบโตจากเงินทุนภายใน แต่ปัจจุบันต้องเผชิญกับต้นทุนการสร้างและขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลที่พุ่งสูงเพื่อตอบสนองความต้องการด้าน AI เชิงสร้างสรรค์ (generative AI) ซึ่งทำให้การพึ่งพาแหล่งทุนภายนอกกลายเป็นทางเลือกที่จริงจังขึ้น

-- รัฐบาลทหารเมียนมายังคงมีท่าทีเชิงบวกต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แม้สินค้าส่งออกจากเมียนมาจะเผชิญภาษีนำเข้าใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ที่สูงถึง 40% โดยเชื่อว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ในที่สุด

ซอ มิน ตุน โฆษกของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐและสันติภาพ ซึ่งเป็นองค์กรหลักของฝ่ายปกครองในเมียนมาเปิดเผยในวันนี้ (2 ส.ค.) ว่า การเจรจายังอยู่ระหว่างดำเนินการ และเมียนมาได้เสนอปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากอัตราเดิม 88% ลงมาอยู่ในช่วง 0%-15% ขณะที่หวังว่าสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเมียนมาเหลือช่วง 0%-7%

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศยังคงเต็มไปด้วยข้อจำกัด เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรผู้นำกองทัพและคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ของเมียนมานับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2564 ที่โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของออง ซาน ซูจี

 

 


world