พวก “ หมดอนาคต “ ซึ่งเป็นนิ๊กเนมของหุ้นใหญ่ 5 ตัว ด้วยกันคือ PTT, PTTEP, PTTGC, AOT และ SCC ทั้งนี้เพราะเป็นเป้าหมายการขายของต่างชาติ ส่วนสาเหตุที่ต่างชาติขายก็ เพราะ ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ( 2.00% ) สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทย ( 1.50% ) อยู่ 0.50% และ นับวันความแตกต่างนี้จะมากขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด เพราะ ตลาดคาดการณ์ว่า FOMC จะปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate ขึ้นไปอีก 2 ครั้งในปีนี้คือปี พ.ศ 2561 ไปอยู่ที่ 2.50% จึงทำให้ต่างชาติขายหุ้นไทยตัวใหญ่ 5 ตัว ที่ได้กําไรแล้วดังกล่าวข้างต้น เพื่อขนเงินกลับไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า
สำหรับการขายของต่างชาติในวันนี้ วันที่ 15 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561 เป็นจำนวน -7,488.49 ล้าน บาท โดยต่างชาติขายสะสมทั้งปีเป็นจำนวน -162,813.26 ล้าน บาท และ ผลการขายของต่างชาติดังกล่าวข้างต้น ทำให้หุ้นใหญ่ 5 ตัวรวมทั้ง SET INDEX ลดลงดังนี้คือ :
1) PTT ปิดที่ 50 บาท จากจุดสูงสุดที่ 59.50 บาท หรือ ลดลง ( 50 – 59.50 ) / 59.50 x 100 = -15.67%
2) PTTEP ปิดที่ 134 บาท จากจุดสูงสุดที่ 151.50 บาท หรือ ลดลง ( 134 – 151.50) / 151.50 x 100 = -11.55%
3) PTTGC ปิดที่ 83.50 บาท จากจุดสูงสุดที่ 105 บาท หรือ ลดลง ( 83.50 – 105 ) / 105 x 100 = -20.48%
4) AOT ปิดที่ 67.25 บาท จากจุดสูงสุดที่ 74 บาท หรือ ลดลง ( 67.25 – 74 ) / 74 x 100 = -9.12%
5) SCC ปิดที่ 434 บาท จากจุดสูงสุดที่ 528 บาท หรือ ลดลง ( 434 – 528 ) / 528 x 100 = -17.80%
6) SET INDEX ปิดที่ 1,704 จุด จากจุดสูงสุดที่ 1,848 จุด หรือ ลดลง ( 1,704 – 1,848 ) / 1,848 x 100 = -7.79%
ส่วนการที่พวก " หมดอนาคต " จะกลายเป็นพวก " มีอนาคตได้ " ได้ก็ต่อเมื่อ ธนาคารกลางไทย หรือ กนง. มีนโยบายที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ชัดเจน และ ใกล้เคียงกับ Fed Fund Rate ของสหรัฐอเมริกาในอนาคต ทั้งนี้เพื่อหยุดการไหลออกของเงินทุน และ หยุดการขายของต่างชาติ ซึ่งอย่างเร็วที่สุดก็น่าจะเป็นครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562 เพราะคาดว่า กนง. หรือ ธนาคารกลางไทยจะปรับดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 4 ปีในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562
สําหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบหลายปีของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก หลังจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี พ.ศ 2551 เป็นดังนี้คือ :
1) ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ครั้งแรกในรอบ 9 ปี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี พ.ศ 2558
2) ธนาคารกลางอังกฤษ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2560
3) ธนาคารกลางเกาหลีใต้ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 6 ปี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2560
4) ธนาคารกลางมาเลเซีย ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 25 มกราคม ปี พ.ศ 2561
5) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 4 ปี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ปี พ.ศ 2561
6) ธนาคารกลางอินเดีย ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 4 ปี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ปี พ.ศ 2561
7) ธนาคารกลางยูโรป จะยุติการทํา QE ในปีนี้คือ ปี พ.ศ 2561 และ คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบหลายปีในช่วงกลาง ถึง ปลายปีหน้าคือปี พ.ศ 2562
8) ธนาคารกลางญี่ปุ่น น่าจะยุติการทํา QE ใน ช่วงปลายปี พ.ศ 2562 จากปริมาณการทํา QE ในปัจจุบันที่ 80 ล้านล้าน เยน ต่อ ปี และ คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบหลายปีได้ในปีต่อไปคือปี พ.ศ 2563
9) ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบหลายปีในช่วง ครึ่งหลังของปีนี้คือปี พ.ศ 2561
10) ธนาคารกลางไทย หรือ กนง. น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 4 ปี ในช่วง ครึ่งแรกของปีหน้าคือปี พ.ศ 2562
หมายเหตุ : 1 ) ที่มาจาก ( www.settrade.com ) และ ( www.set.or.th )
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com
3) ผู้โพสต์ขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ผู้โพสต์ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือเจตนาที่จะชักชวน ชี้นํา หรือ ชี้เป้าให้ท่านนักลงทุนที่เข้ามาดู เข้ามาอ่าน หรือ เข้ามา View มาลงทุนหรือไม่ลงทุนตามแนวทางที่ผู้โพสต์ได้นําเสนอไป และ จะนําเสนอต่อไปในอนาคต และ จะไม่รับประกันผลตอบแทน ตลอดจนจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นในกรณีที่มีการนําข้อมูล หรือ ความเห็นส่วนตัวของผู้โพสต์ไปใช้แล้วเกิดความเสียหายขึ้น ผู้โพสต์หวังแต่เพียงว่าข้อมูล และ ความคิดเห็นส่วนตัวดังกล่าวข้างต้นของผู้โพสต์ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านนักลงทุนที่เข้ามาดู และ เข้ามา View บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเข้าลงทุนหรือไม่ลงทุน