5 พรรคชงลุยเศรษฐกิจดิจิทัลประสานเสียงแนะรัฐปรับตัวสร้างจุดเปลี่ยนประเทศ :
22 ธ.ค. 2565 เวลา 9:08 น.
“5 พรรคการเมือง” ประสานเสียงเสนอรัฐบาลปรับตัว ลุยตลาดเศรษฐกิจดิจิทัล “จุรินทร์” แนะเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ช่วยดันจีดีพีประเทศ “พิธา” มั่นใจเป็นเครื่องมือขจัดความเหลื่อมล้ำ “กรณ์” หนุนสร้างแพลตฟอร์ม โกยรายได้ “สุดารัตน์” ปลุกราชการไทยปรับตัว
สปริงนิวส์ เนชั่นทีวี และโพสต์ทูเดย์ จัดเสวนาหัวข้อ NEXT STEP THAILAND 2023 ทิศทางแห่งอนาคต วานนี้ (21 ธ.ค.) ที่โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ โดยมีแกนนำพรรคการเมืองเข้าร่วมเสวนาอย่างคึกคัก ประกอบด้วย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย , นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล , นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย
นายจุรินทร์ ระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลมีความสำคัญในการขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศและจีดีพีของโลก โดยในปี 2564 เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย มีมูลค่า 2.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12.97% ต่อจีดีพีของประเทศไทย ซึ่งขยายตัว 14.07% แต่จีดีพีของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอื่นมีมากกว่าเรา เรายังตามหลังหลายประเทศ ดังนั้นเราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านนี้ให้มากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มสัดส่วนจีดีพีของเศรษฐกิจดิจิทัล
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการรองรับกติกาโลก ปัจจุบัน Digital Economy โลกยังไม่มีกติกาโลก มีแค่กติกาของ 3 ประเทศที่ตกลงกันในปัจจุบันนี้ ที่เรียกว่า กติกาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบด้วยสิงคโปร์ นิวซีแลนด์ และชิลี ที่เรียกว่า DEPA ซึ่งจีนและแคนาดากำลังจะเข้ามาร่วม รวมถึงเกาหลีใต้กำลังขอร่วม แต่กติกาโลกโดยรวมทั้งหมดยังไม่เกิด
“แต่ไม่เร็วไม่ช้า กติกาโลกต้องเกิด ซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาผ่านกลไกที่เรียกว่า IPEF หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ที่สหรัฐฯ เป็นแม่งาน ที่เรียกว่าอินโด-แปซิฟิก 13 ประเทศ 1 ในหัวข้อสำคัญคือ กติกา Digital Economy ประเทศไทยจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเราเป็นหนึ่งในสมาชิกอินโด-แปซิฟิก เป็นทิศทางที่เราต้องเดินต่อไปในอนาคต“ นายจุรินทร์ กล่าว
พท.วางเสาหลักดิจิทัลปี 70
ด้าน นพ.ชลน่าน ระบุว่า ปี 2570 เพื่อไทยตั้งเป้าให้ประเทศไทยต้องเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน โดยพรรคเพื่อไทยวางแนวเอาไว้ 2 เรื่อง 1.โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล อาทิ อินเทอร์เน็ตฟรี แท็บเล็ตฟรีทุกครอบครัว กระเป๋าตังค์ดิจิทัล สร้างบล็อกเชนสัญชาติไทย ใช้บิ๊กดาต้าวางแผนผลิตสินค้าเกษตร สร้างเขตธุรกิจใหม่ 4 ภาค เป็นต้น
"เราจะตอกเสาหลัก เรื่องโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และสร้างคนยุคดิจิทัล เป็นสิ่งที่เพื่อไทยจะเติมเต็ม สร้างคนยุคดิจิทัล จาก 4 แสนคนให้เป็น 2 ล้านคนภายใน 4 ปี วางแผน 1 ตำบล 1 คนดิจิทัล ราชการคลิ๊กเดียว อินเทอร์เน็ตฟรีทุกหมู่บ้าน สร้าง Coding school ดึงดูด Digital nomads
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงการจัดการกับอาชญากรรมไซเบอร์ และเฟกนิวส์ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ด้านดิจิทัลที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งภาครัฐต้องมีความจริงจังและจริงใจในการแก้ไขปัญหา พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดว่า การแก้ไขปัญหามี 4 ทางออก คือ 1.รัฐบาลคลิ๊กเดียว ที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการทำงานและการเอาจริงเอาจังกับปัญหาได้
2. เติมเต็มความรู้เท่าทันภัยอาชญากรรมทางไซเบอร์ให้กับประชาชน 3.วางโครงสร้างพื้นฐานในการแก้ปัญหาของรัฐ และทุกคนในชุมชนต้องมีส่วนร่วม ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ต้องร่วมกันแก้ไข ต้องสร้างชุมชนดิจิทัล ไม่ใช่ปัญหาของผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นชุมชนดิจิทัล
4.ภัยอาชญากรรมไซเบอร์ ส่วนหนึ่งมาจากกลไกการกำกับดูแลที่ควบคุมหละหลวมมาก ผลประโยชน์ของคนกลางเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองจึงมีอยู่ โดยเฉพาะฝ่ายการเมือง ซึ่งต้องจัดการและเราทุกคนต้องไม่ยอมให้อำนาจเหล่านี้เข้ามาครอบงำ
“กรณ์”กระตุ้นรัฐสร้างแพลตฟอร์ม
นายกรณ์ กล่าวว่า วันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เราเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะดิจิทัลเทคโนโลยี สำหรับประเทศไทย คนไทยพร้อมจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ตราบใดที่สะดวกสบาย เป็นประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรายได้ แต่เราไม่มีแพลตฟอร์มของเราเอง จึงเป็นความท้าทายของเรา และคิดว่าเราต้องทำแพลตฟอร์มของตัวเอง
“ผมคิดว่าประเทศไทยต้องคิดแพลตฟอร์มของตัวเอง เช่น แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้ค่าจีพีรั่วไหลไปยังต่างประเทศ ซึ่งรัฐ ราชการ และนักการเมือง ต้องเปลี่ยนมายน์เซ็ต”
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการนโยบายปราบคอร์รัปชัน เทคโลโลยีมีส่วนสำคัญ เนื่องจากมีร่องรอย มีหลักฐานปรากฏให้เห็น ตรงนี้คืออาวุธที่ดีที่สุด จะเป็นก้าวสำคัญภายใต้เป้าหมายโปร่งใส อัตโนมัติ การขออนุญาตอะไรก็ตามกับภาครัฐ ไม่ต้องพึ่งพาดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ และมีระบบที่สามารถเข้าถึงได้ 24 ชั่วโมง
“พิธา”ชี้กระจายอำนาจ-เทคโนฯแก้เหลื่อมล้ำ
นายพิธา กล่าวว่า ตอนนี้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย เปรียบเทียบกับอาเซียนในลำดับ 6 แพ้หลายประเทศ เราเติบโตช้าที่สุด สะท้อนระบบนิเวศน์ที่มีปัญหา งบประมาณของเศรษฐกิจดิจิทัล 980 ล้านบาท เท่ากับ 0.03% ของงบฯ ทั้งหมด งบฯ ด้านสมาร์ทซิตี้ 7,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่กระจุกที่กรมโยธาธิการและผังเมือง สะท้อนความไม่ใส่ใจของรัฐบาลปัจจุบัน
เศรษฐกิจดิจิทัลแบบก้าวไกล ต้องคิดไกลกว่าประเทศไทย อย่างน้อยก็ระดับอาเซียน โดยการปฏิบัติอยู่ที่ท้องถิ่น ต้องมีพื้นฐาน มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีกฎหมายที่ทันสมัย และโครงสร้างพื้นฐาน ระบบอินเทอร์เน็ต รวมถึงคน ดูอย่างอาจสามารถ สมาร์ท ซิตี้ มีระบบเทคโนโลยีให้บริการประชาชน เช่น ในเรื่องประปา ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือ การไม่กระจายอำนาจ เมื่อท้องถิ่นงบฯไม่เพียงพอ ต้องขอการสนับสนุนจากกองทุนดิจิทัล
“รัฐบาลของเราต้องมีวิธีคิดที่ดี ต้องใช้เศรษฐกิจดิจิทัลลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน พร้อมกับสร้างอุตสาหกรรมแบบใหม่ๆ ซึ่งเป้าหมายระดับภูมิภาค เป้าหมายระดับโลก เราต้องแก้ปัญหาระดับท้องถิ่นก่อน” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวต่อว่า ปัญหาที่ประชาชนสะท้อนเรื่องค่าบริการอินเทอร์เน็ตแพง กสทช. ต้องดูแลเรื่องการควบรวม ถ้าประชาชนมีทางเลือกน้อยลง การแข่งขันก็ทำได้ยาก และรัฐบาลก็มีส่วนช่วยในเรื่องต้นทุนให้ถูกลงได้ ผ่อนหนักเป็นเบา
ทสท.ดันรัฐบาลดิจิทัลภายในปี70
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยตั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Country และ Digital society ในปี 2570 เราต้องอาศัยความตั้งใจจริงของผู้บริหาร เนื่องจากความสามารถด้านดิจิทัลของไทยย่ำอยู่กับที่มานาน ตกทุกตัว มีแค่เทคโนโลยีที่ขึ้นเพราะซื้อได้ แต่ความพร้อมของคนไม่เป็นเช่นนั้น
ดังนั้น ต้องพัฒนาคน ปฏิวัติการศึกษาด้วยเทคโนโลยี เสริมทักษะแรงงาน พัฒนาทุนมนุษย์ สร้างพลังอำนาจให้ประชาชน ปลดล็อกกฎหมาย ที่ทางพรรคเสนอสภาไปแล้วคือ พักใช้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคทำมาหากินของประชาชน 1,300 ฉบับ
“เราจะสร้าง Digital Government อย่างเต็มรูปแบบ Open data government ต้องเกิด เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบราชการไทย ซึ่งทำได้ ไม่ยากถ้าผู้นำใส่ใจ เข้าใจ แลตั้งใจที่จะทำ เป็นนโยบายของพรรคที่ตั้งใจให้เป็นรูปธรรมใน ปี 2570 จะทำให้ต้นทุนบริการของประชาชนถูกลง เข้าถึงง่าย ย่นระยะเวลาทำมาหากิน และช่วยปราบปรามคอร์รัปชั่น ที่เป็นต้นตอทุกปัญหา” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า เราต้องเร่งลงทุนด้านนวัติกรรมอย่างจริงจัง ปลูกฝังหลักสูตรที่สำคัญ ตั้งแต่ระดับประถมเพิ่มทักษะ รวมทั้งพัฒนาทักษะแรงงาน เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถด้านนี้ เข้ามาในประเทศไทย เพื่อช่วยผลักดัน และเรียนรู้ไปด้วยกัน
หมายเหตุ : ที่มาจากกรุงเทพธุรกิจ