ส่องคาดการณ์งบไตรมาส 2 หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เตรียมประกาศกำไรสุทธิออกมาแบบทะลัก!!
อย่างที่ทราบกันดีว่าค่าการกลั่นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดดเด่น ทำให้หุ้นกลุ่มโรงกลั่นมีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างหนาแน่น ซึ่ง Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาสำรวจดูกันว่า งวดไตรมาส 2/65 หุ้นกลุ่มนี้จะรายงานกำไรออกมาในทิศทางไหนกันบ้าง
โดยจากการประเมินของนักวิเคราะห์ พบว่า งวดไตรมาส 2/65 ทาง TOP SPRC และ BCP จะมีกำไรเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ขณะที่ IRPC คาดจะเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลงจากไตรมาสก่อน ส่วน PTTGC หนักสุดคาดจะลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้าน ESSO ยังไม่มีการประเมินงบไตรมาส 2/65 แต่กำไรทั้งปีจะเติบโตอย่างโดดเด่นเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นจะด้วยปัจจัยอะไร บทความนี้มีคำตอบแล้ว
TOP โตเฉียด 1,000%
เริ่มจาก TOP โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่า TOP จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 206% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 936%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจาก 3 ปัจจัยบวก 1.คาดว่าบริษัทจะรายงานค่าการกลั่นไตรมาส 2/65 ไม่น้อยกว่า 23 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.4 เหรียญ และ 7.6 เหรียญต่อบาร์เรล ในช่วงไตรมาส 2/64 และไตรมาส 1/65 ตามลำดับ สอดคล้องกับค่าการกลั่นสิงค์โปร์ไตรมาส 2/65 เฉลี่ยอยู่ที่ 21.4 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของ ค่าการกลั่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก
2.กำลังกลั่นที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 111% อยู่ที่ 3.05 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 98% และ 109% ในช่วงไตรมาส 2/64 และไตรมาส 1/65 ตามลำดับ และ3.การรับรู้กำไรจากการขายหุ้น GPSC (ขายทั้งหมด 10.78%) โดยคาดว่าบริษัทจะบันทึกกำไรหลังภาษีอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท
โดยปัจจัยบวกทั้งหมดเพียงพอเชยปัจจัยลบจาก 1.ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่อ่อนแอ โดยคาดว่า Margin ที่ได้จากธุรกิจปิโตรเคมีจะอยู่ที่ 1.1 เหรียญต่อบาร์เรล (รวมธุรกิจ Lube base oil) ลดลงเมื่อเทียบกับ 1.3 เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาส 1/65 ที่ผ่านมา เป็นผลมาจาก Spread Margin ในผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งพาราไซลีน และเบนซิน ที่ลดลง 65%จากไตรมาสก่อน และลดลง 79%จากไตรมาสก่อน แม้ Spread 500SN-HSFO จะปรับเพิ่มเล็กน้อยก็ตาม
และ 2.การรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และ Hedging loss รวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะ Hedging Loss ที่ปรับเพิ่ม ตามการเพิ่มขึ้นของ Products Spread ทั้ง น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา (มีสัดส่วนการทำ Hedging ในสัดส่วน 40-45% ของยอดขายในไตรมาส 2/65 แม้จะมี Stock Gain กว่า 6.1 พันล้านบาท มาลดทอนผลกระทบส่วนหนึ่งก็ตาม
อย่างไรก็ตามความน่าสนใจในการลงทุนลดลง หลังค่าการกลั่นผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 2/65 ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังผลิตใหม่ทั้งจากกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี จะเริ่มทอยอยเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงครึ่งหลังปี 65 จะเป็นปัจจัยจำกัด Upside ของค่าการกลั่น และส่วนต่างราคาปิโตรเคมี ทำให้ปรับน้ำหนักหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นจาก Overweight เป็น Neutral ความน่าสนใจในการลงทุนจึงมีเพียง Valuation ที่สะท้อนปัจจัยลบไปมาก ขณะที่การคาดหมายเงินปันผลในปี 2565 จะสูงถึง 4.25 บาทต่อหุ้น ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 8.4% จึงปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “เก็งกำไร” ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ไว้ที่ 60 บาท
IRPCไตรมาสที่มีผลประกอบการดี
ถัดมา IRPC โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/65 คาดจะมีกำไรสุทธิที่ 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น145%จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นับว่าเป็นรายไตรมาสที่มีผลประกอบการดี โดยแม้คาดว่าธุรกิจปิโตรเคมีจะอ่อนแอ กดดันจาก Spread PP และ ABS ที่ลดลงเหลือ 472 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลง 3%จากไตรมาสก่อน และลดลง 33%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ934 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลง 13%จากไตรมาสก่อน และลดลง 52%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
รวมทั้งจะมีขาดทุนป้องกันความเสี่ยงสูงราว 6 พันล้านบาท เนื่องจาก Diesel Crack Spread ปรับตัวสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าปัจจัยลบข้างต้นจะสามารถชดเชยได้ด้วยการปรับตัวขึ้นของค่าการกลั่นเป็น 17 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น287%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 137%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้อง Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปที่สูงขึ้นมาก คาด Market GIM จะทำได้ 19.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 180%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 137%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนรวมทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ขยับขึ้น จะทำให้มีกำไรสต็อกน้ำมันเข้ามาช่วยอีก 4.5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คงมุมมองเป็นกลางต่อ IRPC และแนะนำ เพียง TRADING ราคาเหมาะสม 3.50 บาท โดยประเมินว่าสามารถเก็งกำไรแบบ Laggard Play ได้ แต่ราคาหุ้นจะยังไม่ Outperform คู่แข่งเพราะ 1. อุตสำหกรรมปิโตรเคมี PP และ ABS (ผลิตภัณฑ์หลัก) จะถูกกดดันจากกาลังผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดในปี 2565 - 2566 ท่ามกลางอุปสงค์จากอุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า (ราว 80% ของ ABS) ยังได้รับผลกระทบจากปัญหา Chip shortage ที่ยืดเยื้อ
2.กระบวนการผลิตได้รับผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าคู่แข่ง 3.ไตรมาส 4/65 มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่นรออยู่ 4.แม้ผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 65 ดี และไม่มีโครงการลงทุนใหญ่ ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งแรกปี 65 อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ยังไม่แน่นอน เพราะภาวะปกติบริษัทฯ จ่ายปันผลปีละครั้งเทียบกับคู่แข่งที่จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งแรกปี 65 สม่ำเสมอ (บริษัทฯ จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 วันที่ 9 ส.ค.)
PTTGC หยุดซ่อมบำรุงตามแผน
PTTGC โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด เปิดเผยว่า คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 750 ล้านบาท ลดลง 82%จากไตรมาสก่อน และลดลง 97%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยลบมาจาก 1. การรับรู้ Hedging Loss ที่คาดว่าจะมากถึง 1.26 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการทำ Hedging มากถึง 50-60% ของยอดขายน้ำมันดีเซลและ Naphtha ในช่วงไตรมาส 2/65 ที่ผ่านมา
2.อัตราผลิตโอเลฟินส์ลดลงเหลือ 75% จากแผนการหยุดซ่อม Ethan Cracker เป็นเวลา 39 วัน ซึ่งกระทบผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสัดส่วนการใช้ Naphtha เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตสูงถึง 28% จาก 14% ในไตรมาส 1/65 กระทบ EBITDA Margin ของกลุ่มธุรกิจ Olefins ให้ปรับลดลงเหลือ 9% ลดลงจาก 11% ในไตรมาส 1/65 นอกจากนี้ยังมีแผนหยุดซ่อมโรงงาน LDPE LLDPE ตามแผน เป็นเวลา 24-30 วัน ทำให้บริษัทมียอดขายรวมลดลง 10%จากไตรมาสก่อน รวมไปถึงการหยุดซ่อมหน่วยอะโรเมติกส์ 30 วัน (เริ่มกลาง มิ.ย. ถึงกลาง ก.ค.) ทำให้อัตราผลิตลดลงเหลือ 80% และ3.การรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 2 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาและ Margin ของธุรกิจปรับเพิ่ม โดยเฉพาะค่าการกลั่นที่คาดว่าจะรายงานสูงถึง 21.3 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 2.03 เหรียญ และ 7.6 เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2/64 และไตรมาส 1/65 ขณะที่ส่วนต่างราคาพาราไซลีนปรับเพิ่มขึ้น 21.6%จากไตรมาสก่อน จากการฟื้นตัวของราคาพาราไซลีน และราคา HDPE ที่ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่ Spread HDPE และ LDPE ปรับเพิ่ม 2.9%จากไตรมาสก่อน และ 2.5% จากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ผลประกอบการไตรมาส 2/65 บริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน VNT เพิ่มตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่จากการพูดคุยกับ PTTGC ประเด็นที่กังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของกำลังผลิตใหม่ จะเริ่มผ่อนคลายลง โดยเชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนความเสี่ยงจากกำลังผลิตใหม่ในปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10 ล้านตัน ขณะที่การคาดหมายกำลังผลิตใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2566 จะเหลือเพียง 6 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับ Demand Growth ของธุรกิจที่ระดับ 5-6 ล้านตันต่อปี ราคาหุ้นที่ปรับลดลง ทำให้ PTTGC กลับมามีความน่าสนใจในเชิงของ Valuation ภาพรวมของ Demand ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในจีน จะส่งผลบวกต่อ Demand กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีในระยะสั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 58 บาท
SPRC สูงสุดเป็นประวัติการณ์
SPRC โดยนักวิเคราห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดกำไรรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติ การณ์ในไตรมาส 2/2565 โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ SPRC จะอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 815%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 34%จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1. market GRM ที่สูงขึ้นผิดปกติถึง 640% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 132%จากไตรมาสก่อน เป็น 19.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล
2.อัตราการกลั่นที่สูงขึ้น 15%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน เป็น 156 KBD และ 3.คาดรับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมันที่ 2.4 พันล้านบาท จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในไตรมาส ด้วยกำไรที่คาดแข็งแกร่งในไตรมาส 2/2565 เช่นนี้ จึงคาดว่ากำไรสุทธิครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ 1.24 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 345%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 92% ของประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย คงแนะ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2566 ที่ 13.1 บาทอิงจากกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2565 และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลระดับสูงที่ 14%
BCP โรงกลั่น-E&P ที่แข็งแกร่ง
โดยนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนะนำ “ซื้อ ” BCP มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท โดยคาดกำไรปกติไตรมาส 2/65 ปรับดีขึ้น ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หนุนจากกิจการโรงกลั่น และสำรวจและผลิต (E&P) ที่แข็งแกร่ง
โดยภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นที่สดใสน่าจะช่วยหนุนให้มีผลงานที่ดีในไตรมาส 2/65 ได้ เพราะมีแรงขับเคลื่อนจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น และอัตราการกลั่นเต็มกำลัง ขณะที่คาดกำไรจากธุรกิจการตลาดค้าปลีกและชีวมวลปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน หนุนจากปริมาณขายและอัตรากำไรที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งคาดว่าส่วนแบ่งจากธุรกิจไฟฟ้าจะลดลงจากไตรมาสก่อน จากการขาดหายไปของกำไรการขายสินทรัพย์ในไตรมาส 1/65
ส่วนสภาวะอุปทานน้ำมันดิบที่ตึงตัวจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนทามกลางการฟื้นตัวของอุปสงค์พลังงานน่าจะทำให้น้ำมันดิบ (เบรนท์) ยังยืนระดับสูงหรือเหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในปี 65 ต่อไป (EIA ประเมินเติบโต 41%จากปีก่อน) ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดาเนินงานในธุรกิจโรงกลั่น และ E&P ในปี 65ได้
ESSO ปี 65 กำไรโตเด่น
สุดท้าย ESSO ล่าสุดยังไม่มีบทวิเคราะห์ไตรมาส 2/65 แต่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 14.10 บาท โดยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2565 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.37 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 208%จากปีก่อน เนื่องจาก spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นดีขึ้น โดยคาดว่า accounting GRM (base GRM บวกกำไร/ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน) ของ ESSO จะเพิ่มขึ้นถึง 69%จากปีก่อน เป็น 12.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากคาดว่า spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลในปีนี้จะเพิ่มขึ้น เป็น 22.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล, 19.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล , 21.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 11.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล , 5.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล , 6.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามแม้จะคาดว่าบริษัทจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 3.8 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมันสูงมากในปีที่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยผ่อนคลายมาตรการคุม COVID-19 ลง ทำให้คาดว่าปริมาณยอดขายน้ำมันของบริษัทจะดีดตัวขึ้น 6% จากปีก่อน เป็น 5,272 ล้านลิตร และอัตราการกลั่นจะเพิ่มขึ้น 14%จากปีก่อน เป็น 140KBD ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ 80% ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีต