ห้องเม่าปีกเหล็ก

คนไทยได้หรือเสียจากการลดดอกเบี้ย1%ครั้งประวัติศาสตร์

โดย dave
เผยแพร่ :
67 views

คนไทยได้หรือเสียจากการลดดอกเบี้ย1%ครั้งประวัติศาสตร์

การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นครั้งแรกที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดลงเหลือ 1% แม้ปีที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ยังไม่มีการ ลดดอกเบี้ย ลงเหลือเท่านี้มาก่อน ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยอาการโคม่าต้องมีการปั้มหัวใจเร่งด่วน

 

เหตุผลของทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน ระบุว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิมและต่ำกว่าระดับศักยภาพมากขึ้น จากการระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของ ..งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง

จึงเห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้นจะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น รวมทั้งสนับสนุนสภาพคล่องและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลงจากที่ประมาณการไว้เดิมมาก ซึ่งการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มลดลงตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคด้วย สำหรับด้านอุปสงค์ในประเทศ การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากการประกาศใช้ ..งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ล่าช้าและยังมีความไม่แน่นอนสูง

ส่วน การบริโภคภาคเอกชนยังได้รับแรงกดดันจากรายได้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มชะลอลงมากขึ้นทั้งครัวเรือนในภาคบริการ เกษตร และอุตสาหกรรม รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดย กนงให้ติดตามผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2563 และปี 2564 มีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อตลอดช่วงประมาณการ ตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ชะลอลงตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงราคาพลังงานต่ำกว่าคาดเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มลดลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา แม้อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดจะปรับเพิ่มขึ้นบ้างจากภัยแล้ง

ภาวะการเงินที่ผ่านมาอยู่ในระดับผ่อนคลาย โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง แต่สินเชื่อภาคธุรกิจมีแนวโน้มชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าเงินบาทอ่อนค่าลงบ้างเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง แต่ยังอาจไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย และมีแนวโน้มผันผวน

ทั้งนี้ กนงจะติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านต่างประเทศที่มีอยู่สูง รวมถึงให้ติดตามประสิทธิผลของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินเพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออก และสนับสนุนให้ ธปทดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การ ลดดอกเบี้ย ครั้งนี้จึงเป็นความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งจากปัจจัยลบรุมเร้ามากมาย แต่ใช่ว่าการลดดอกเบี้ยจะมีแต่ข้อดีเสมอไป….

ข้อดีแรก ต้นทุนการกู้ยืม(อาจ)ลดลง

จุดประสงค์หลักของการลดดอกเบี้ยก็เพื่อที่จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ปล่อยเงินกู้ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจลด “ดอกเบี้ยเงินกู้” ลง เพื่อให้คนไทยกล้าที่จะกู้เงินมากขึ้นและยังทำให้ต้นทุนการกู้ถูกลง จากกลไกของดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับนโยบายดอกเบี้ยของตัวเองไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าธนาคารพาณิชย์จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยตามเสียทีเดียวหรืออาจจะลดในอัตราที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย แล้วแต่สถานะทางการเงินและแผนธุรกิจของแต่ละธนาคารเอง

ข้อดีที่สอง ลดแรงกดดันเงินบาทแข็ง

สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาจนทำให้กระทบต่อภาคการส่งออกคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าจากการที่กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนโดยเฉพาะในพันธบัตรของประเทศที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง โดยเงินบาทของไทยเป็นสกุลเงินเอเชียที่แข็งค่าเป็นอันดับที่หนึ่งในปีที่ผ่านมา ทำให้ภาคการส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศได้ผลกระทบ

อย่างน้อยการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงเพราะยังมีบางประเทศในเอเชียที่ยังไม่ได้ลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามหากธนาคารกลางของประเทศอื่นในเอเชียลดดอกเบี้ยตามอาจทำให้การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ไม่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้มากนัก

ข้อดีที่สาม ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น

เห็นได้ชัดว่าหลังประกาศลดดอกเบี้ย ดัชนี SET Index ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ได้ปรับตัวขึ้นกว่า 14.76 จุดหรือ 0.97% เนื่องจากมีความหวังว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ รวมถึงจะมีสภาพคล่องใหม่เกิดขึ้นในระบบการเงินซึ่งจะผลักดันตลาดหุ้นต่อไปได้ เห็นได้ชัดจากประเทศอื่นๆที่มีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ตลาดหุ้นมักจะวิ่งนำออกไปก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าพื้นฐานเศรษฐกิจจะดีขึ้น

 

อย่างไรก็ตามการลดดอกเบี้ยครั้งนี้คนไทยบางส่วนก็อาจได้รับผลกระทบทางลบเช่นกัน

ข้อเสียแรก นี่คือการประกาศว่าเศรษฐกิจไทยเข้าขั้นย่ำแย่

การตัดสินใจลดดอกเบี้ยในแต่ละครั้งของคณะกรรมการนโยบายการเงินไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ หากเศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่ “ไม่สามารถไปต่อได้” โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้แต่วิกฤตต้มยำกุ้งและซับไพร์มก็ยังไม่ตัดสินใจเช่นนี้ นี่คือสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยย่ำแย่จริงๆ

คนฝากเงินได้ดอกเบี้ยต่ำลง

ข้อนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนฝากเงิน เพราะนอกจากธนาคารจะลดดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว ยังจะต้อง ลดดอกเบี้ย เงินฝากตามลงไปด้วย แล้วแต่สถานะการเงินและแผนธุรกิจของแต่ละธนาคาร แม้ตอนนี้จะยังไม่มีการประกาศออกมาแต่การลดดอกเบี้ยทุกครั้งจะนำมาสู่การลดดอกเบี้ยเงินฝากแทบทุกครั้ง ต้องติดตามต่อไปว่าธนาคารจะลดดอกเบี้ยเงินฝากเท่าไร

ผลตอบแทนกองทุนเพื่อการเกษียนอาจลดลง

ข้อนี้ก็ส่งผลกระทบต่อคนไทยส่วนใหญ่ เนื่องจากกองทุนเพื่อการเกษียนไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือ กบขกองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมตลาดเงิน อาจจะมีผลตอบแทนรวมที่ลดลง เนื่องจากกองทุนเหล่านี้มีสัดส่วนการลงทุนในตลาดเงินโดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่กว่า 70% ขึ้นไป หากดอกเบี้ยนโยบายลดลง ผลตอบแทนจากพันธบัตรจะลดลงไปด้วย ส่งผลกระทบต่อผู้ออมเงิน

อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการปรับพอร์ตลงทุนของกองทุนเหล่านี้ด้วยว่าจะสามารถหาสินทรัพย์การลงทุนอื่นมาทดแทนได้ไหม

อาจเกิดการเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆ

ในประวัติศาสตร์ทุกครั้งที่มีการ ลดดอกเบี้ย อยู่ในระดับต่ำจนเกิดสภาพคล่องทางการเงิน จะมีเม็ดเงินเข้ามาเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆเช่น อสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้น จนทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ที่สนใจลงทุนโดยเฉพาะผู้ซื้อบ้านที่ราคาขายอาจสูงขึ้นแต่กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ไม่ไปตาม

ขณะที่ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีความเห็นต่อผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 1.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และนับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงมาที่ 31.25 ต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ท้ายตลาดเงินบาทพลิกแข็งค่ามาอยู่ที่ 30.99 ขณะที่การซื้อขายผันผวนอย่างมากตลอดช่วงบ่ายของวันนี้

นับตั้งแต่ต้นปี เงินบาทได้กลับทิศปรับลดลงเกือบครึ่งหนึ่งของการแข็งค่าในปี 2562 และกลายเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย โดยอ่อนค่าลง 3.9% จากการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ทั้งนี้ คณะกรรมการกนง. กล่าวว่า แม้ว่าเงินบาทอ่อนค่าลงบ้างเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า แต่ค่าเงินบาทยังไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย และคณะกรรมการจะยังคงติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด

คณะกรรมการ กนง. แสดงความกังวลในด้านเศรษฐกิจมากขึ้น โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และต่ำกว่าศักยภาพมากขึ้นมาก ปัจจัยหลักมาจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีและปัญหาภัยแล้ง  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1% ตลอดช่วงปี 2563 และ 2564 เนื่องจากผลกระทบจากราคาพลังงานและอุปสงค์ในประเทศชะลอตัว

คณะกรรมการกนง. มีกำหนดการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 25 มีนาคม 2563 ความเห็นของ กนง. ในวันนี้แสดงถึงมุมมองที่สนับสนุนนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนอย่างชัดเจน กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์มองว่า การตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับต่ำสุดครั้งใหม่นี้ถือเป็นการเปิดทางให้มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก ถ้าหากสถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม แม้ว่าเรายังไม่แน่ใจถึงประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ต้องจับตาว่า “ยาแรง” ครั้งนี้ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นจากอาการไข้ได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นเราอาจได้เห็นการลดดอกเบี้ยครั้งประวัติศาตร์ต่ำกว่า 1% ก็เป็นได้!!

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave