สถิติฟ้อง “ทุกวิกฤติ” หลังตลาด “ปรับฐานรุนแรง”...จะ “ฟื้นตัว” กลับมาได้ทุกครั้ง !!!
.
Where2put Ur Money: นอกจากประเทศไทยที่เผชิญแผ่นดินไหวในช่วงปลายเดือนที่ผ่านแล้ว โลกการลงทุนในช่วงนี้ก็สั่นไหวรุนแรงจากเงื้อมมือ “Donald Trump” เช่นกัน สำหรับนักลงทุนที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความตึงเครียดระหว่าง “สหรัฐอเมริกา” และ “จีน” ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ภายใต้ "Trade War 2.0"
.
แม้จะใช้ชื่อเดียวกับสงครามการค้าในปี 2018 แต่ “Trade War” รอบใหม่นี้มีขอบเขตที่กว้างกว่าเดิม จากการปะทะกันทางการค้า ลุกลามไปสู่สงครามเทคโนโลยีและการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าความผันผวนที่เกิดขึ้น เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสการลงทุนครั้งใหม่เช่นกัน
.

“Trade War 1.0” กับ “Trade War 2.0”…ความเหมือนที่แตกต่าง
หากมองย้อนไปในช่วง “Trade War 1.0” เมื่อปี 2018 สหรัฐฯ ใช้นโยบายกำแพงภาษีเพื่อลดการขาดดุลการค้ากับจีน ทำให้เกิดการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีระหว่างสองประเทศตลอดทั้งปี ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะปรับฐานอย่างรวดเร็ว
.
-ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเกือบ -20% ในไตรมาสสุดท้ายของปี และตลาดหุ้นจีน (CSI 300 Index) ก็ร่วงลงถึง -25% เช่นกัน
.
“แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2019 ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นกว่า 30% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปีที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ ภายหลังจากสหรัฐฯกับจีนบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ในช่วงปลายปี ซึ่งถือเป็นอีกครั้งที่การปรับตัวลงรุนแรงของตลาดหุ้นในช่วงวิกฤติ กลายเป็นโอกาสทองของการลงทุน”
.
ในปีนี้ แม้ “Trade War 2.0” จะใช้วิธีการที่เราคุ้นเคย คือ การตั้งกำแพงภาษีเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ สหรัฐฯ เริ่มหันมาโฟกัสเรื่องที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือ "การควบคุมเทคโนโลยี” ตั้งแต่ Semiconductor, AI และ Clean Energy ล้วนถูกจำกัดไม่ให้ไหลไปถึงจีนได้ง่ายๆ แบบเมื่อก่อน รวมถึง “การกีดกันทางค้าระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก” ผ่านการขู่ขึ้นภาษีแบบ “Universal Tariff” ซึ่งเป็นการกดดันทางอ้อมให้ทุกประเทศทั่วโลก ลดการพึ่งพาจีน มาพึ่งพาสหรัฐฯ มากขึ้น
.
“ดังนั้นสิ่งที่เหมือนกัน ก็คือ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ยังคงแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจกันเช่นเดิม แต่ในรอบนี้ Scale ของการขึ้นภาษีจะใหญ่ขึ้นกว่าใน ‘Trade War 1.0’ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงทำให้ความผันผวนของตลาดการลงทุนมีโอกาสสูงกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสหรัฐฯ กับจีนต่างก็ได้บทเรียนว่าการขึ้นภาษีใส่กันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ทางออกที่ดีต่อเศรษฐกิจ เพียงแต่เป็นเครื่องมือที่ดี ในการกดดันอีกฝ่ายเพื่อหาข้อตกลงทางการค้าที่สร้างข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบน้อยที่สุดได้”
.
ทีนี้คำถามสำคัญถัดมา คือ แล้ว “ตลาดหุ้น” จะปรับตัวลงต่อแค่ไหน...ใช้เวลาเท่าไหร่ในการฟื้นตัว
.
สำหรับคำถามนี้เป็นคำถามที่ “ไทร” เชื่อว่า ไม่มีใครสามารถฟันธงได้แม่นยำเป๊ะๆ แต่ว่าเราก็สามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้
.
โดยถ้าดูสถิติย้อนหลัง ของการ “ปรับฐานใหญ่” ของตลาดหุ้นโลกแต่ละครั้ง จะพบว่ามักจะมี “Pattern” ที่คล้ายกันคือ ปรับตัวลงเร็วและแรงในช่วงที่เกิดวิกฤติ แต่พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ตลาดก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมาทำ “จุดสูงสุดใหม่” ได้ เช่น
.
-ช่วง Global Financial Crisis 2008: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงสูงสุดถึง -55% ก่อนจะเริ่มฟื้นตัว +24% ในปี 2009 และสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ภายใน 4 ปีถัดมา
.
-ช่วง Trade War 1.0 ปี 2018-2019: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐาน -19.8% ในไตรมาสที่ 4/2018 และในปี 2019 ดัชนี S&P 500 กลับมาฟื้นตัวแรง +28.9%
.
-ช่วง COVID-19 ปี 2020: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลง -34% ภายในเวลาแค่ 33 วัน ก่อนที่จะฟื้นตัวและทำ New High ภายใน 5 เดือนถัดมา
.
-โดยในครั้งนี้ ตั้งแต่ “Donald Trump” เริ่ม “Trade War 2.0” ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลงมาแล้วราวๆ 20% ซึ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับ “Trade War 1.0” อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ก็อาจทำให้ตลาดปรับตัวลงใกล้เคียงกับช่วง “Covid-19” ที่เศรษฐกิจเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” ได้
.
อย่างไรก็ตาม จากสถิติชี้ให้เราเห็นว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นที่รุนแรงจากความกลัวมักใช้เวลาไม่นาน และจะตามมาด้วยการฟื้นตัวในระยะถัดไป ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่ขาดทุนจากการลงทุนใน “กองทุนหุ้นโลก” หรือ “กองทุนหุ้นสหรัฐฯ” อยู่ในช่วงนี้แนะนำว่าควรต้องทำใจให้แข็งเข้าไว้ “Stay calm, stay invested."
.
“เพื่อนๆ นักลงทุนต้องทำความเข้าใจว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติในตลาดการลงทุน มักเป็นสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยเจอเสมอ อย่าง เช่น Subprime Crisis ในปี 2008, Trade War 1.0 ในปี 2018, Covid-19 ในปี 2019 และ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในปี 2022 ล้วนแต่เป็นปัจจัยกดดันตลาดการลงทุนที่รุนแรงในช่วงระยะนึง แต่จากสถิติที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนก็ล้วนแต่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ทุกครั้ง”
.
ดังนั้น “Trade War 2.0” ในรอบนี้ ที่ก่อให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นครั้งใหญ่ ก็มีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวกลับมาหลังจากปัจจัยเสี่ยงคลี่คลายได้เช่นกัน
ที่มา FacebookWealthy Thai