
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประกาศกำไรไตรมาส 3/61 กว่า 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% ยอด 9 เดือนทำกำไรกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท โต 6.7% มั่นใจยอดเติบโตสินเชื่อปีนี้อยู่ในกรอบ 8-10%
บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) แจ้งผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 มีกำไรสุทธิ 6,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2560 โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกําไรจากการดําเนินงาน
ในไตรมาส 3/2560 กําไรจากการดําเนินงานเพิ่มขึ้น 4.6% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ด้วยการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานอื่น
ขณะที่กำไรลดลง 0.9% หากเทียบกับไตรมาส 2/2561 ผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานอื่น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทางการตลาด
สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2561 กําไรสุทธิอยู่ที่ 18,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,173 ล้านบาท หรือ 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกนของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึนของกำไรจากการดําเนินงานสุทธิ ด้วยการเพิ่มขึ้นของ
ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2561 กําไรจากการดําเนินงานอยู่ที่ 43,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2560 โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อ และการเพิ่มขึ้นที่แข็งแกร่งของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ กําไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และหนี้สูญรับคืน
นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2561 ในกรณีมาตรการกีดกันทางการค้าและผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด ธนาคารคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ชัดเจนขึ้น และการเพิ่มขึ้นของรายได้โดยรวม ด้วยสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น
กอปรกับปัจจัยด้านฤดูกาลสำหรับสินเชื่อเพื่อลูกค้ารายย่อยและสินเชื่อเพื่อธุรกิจในไตรมาสที่ 4 ดังนั้น ธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อทั้งปี 2561 จะอยู่ในกรอบ 8-10%
ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินฝาก และเป็นหนึ่งในห้าสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.7 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.4 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.1 ล้านล้านบาท
ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 231.77 พันล้านบาทหรือเทียบเท่า 15.50% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 11.78% (ที่มา money channel)
.
หุ้นธนาคารหลายตัวผลตอบแทนผลกำไรเริ่มดีขึ้น และมีโอกาสทิศทางที่ดีขึ้นได้อีก จากการที่ถ้าแบงก์ชาติปรับขึ้นนโยบายดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารมีโอกาสได้รายได้จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้อีก ถือเป็นต้นทุนทางการเงินที่สำคัญ