สถานการณ์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ในประเทศไทยคือ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนรุกคืบอย่างหนัก ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง ลาซาด้า ภายใต้ปีกธุรกิจอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่างอาลีบาบา รวมทั้ง ช้อปปี้ ที่มีเจ้าของคือ Sea Group แถมมีบริษัทผลิตเกมยักษ์ใหญ่อย่างกลุ่ม Tencent หนุนหลัง และ JD CENTRAL โดยการร่วมมือระหว่าง JD.com ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของจีน และ เซ็นทรัลกรุ๊ป เจ้าพ่อค้าปลีกของไทย
หากเปิดข้อมูลดูย้อนหลังจะพบว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ มีแนวโน้มแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากค้าปลีกแบบดั้งเดิมมากขึ้นทุกๆปี ยิ่งทำให้การแข่งขันให้ได้มาซึ่งผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวทวีความร้อนแรง ธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่างทุ่มเงินลงทุน จัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย แคมเปญโฆษณา และสงครามราคาค่าขนส่ง ประมาณว่าศึกนี้ใครเงินหมดก่อนแพ้ และผู้ชนะจะสามารถครอบครองตลาดนี้แต่เพียงผู้เดียว
คำถามคือ ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงของธุรกิจต่างชาติ ผู้ประกอบการท้องถิ่นในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบและปรับตัวอย่างไร ?

ซึ่งในขณะนี้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเติบโต กลับสวนทางกลับผลประกอบการย้อนหลังของธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ใน 9 เดือนแรกปี 2563 ที่หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยพบว่า
เซ็นทรัล รายได้รวมลดลง -10.36 %
แมคโคร รายได้รวมเพิ่มขึ้น 4.35%
เซเว่นอีเลฟเว่น รายได้รวมลดลง -7.52%
บิ๊กซี รายได้รวมลดลง -9.86%

จะเห็นว่าการเข้ามาของทุนต่างชาติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สามารถแย่งส่วนแบงทางการตลาดของตลาดค้าปลีกไปได้เยอะพอสมควร ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายในแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าจากจีนได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ที่สำคัญ ราคาถูกกว่าสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย แถมบางสินค้ายังจัดส่งฟรีจากต่างประเทศให้ด้วย นี่คือความน่ากลัวจากการรุกคืบของสินค้าจากประเทศจีนที่บุกตลาดไทยโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งตรงจากโรงงานประเทศจีนถึงมือผู้บริโภคประเทศไทยโดยตรงในรูปแบบการค้าออนไลน์ข้ามแดน
ในเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน คนรอซื้อออนไลน์มากกว่าร้านค้าปลีกในประเทศ นับว่าเป็นสัญญาณอันตรายมาก และเงินกำลังไหลออกนอกประเทศ ผลกระทบที่หลายคนยังมองไม่ออก แต่สำหรับธุรกิจในประเทศต้องมองให้ออกว่าเราจะแข่งขันได้อย่างไร ท่ามกลางสงครามราคาธุรกิจอีคอมเมิร์ซต่างชาติรุกหนักเช่นนี้