ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกเฟ้น 14 หุ้นน่าเก็บ เน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

โดย ัyoda
เผยแพร่ :
129 views

หุ้นเด่นวันนี้ ! 5 โบรกเฟ้น 14 หุ้นน่าเก็บ เน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว TNN Wealth

หุ้นน่าซื้อวันนี้ 18 เม.ย. 65 โบรกมองหุ้นไทยวันนี้นี้มีโอกาสปรับฐานในกรอบ 1,655-1,675 จุด เชิงกลยุทธ์ยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนัการลงทุนสำหรับการถือครองหุ้นระยะกลาง-ยาว แต่ Trading เป็นรายวัน เน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้ม Outperform

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศระหว่างวันหยุดยาวในสัปดาห์ที่ผ่านมาออกไปในทิศทางผสมผสานจากปัจจัยเศรษฐกิจเฉพาะตัวในแต่ภูมิภาคแบ่งออกเป็น (1) ตลาดหุ้น S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวลง 2.1% สู่ระดับ 4,393 จุดหลังการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มี.ค. ที่ 8.5% แม้ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด แต่ผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่ตึงตัวคาดยังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อการลงทุนไปอย่างน้อยจนถึงการประชุม FOMC ในวันที่ 4 พ.ค. (2) ตลาดหุ้นยุโรป (Stoxx Europe 600) ฟื้นตัวขึ้นเหนือระดับก่อนเกิดวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ 460 จุด หลังการประชุม ECB ล่าสุดแสดงถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังผ่อนคลายจากการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและแผนการซื้อสินทรัพย์ผ่านโครงการ APP และ (3) ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังทางการจีนประกาศปรับลดอัตราส่วนสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ (RRR) จาก 8.4% เป็น 8.1% เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจหลังความรุนแรงของการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกดดันการเติบโตของ GDP

เราคาดปัจจัยระดับมหภาคโดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และจีนในระยะสั้นจะมีบทบาทกดดันการเคลื่อนไหวต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ กล่าวคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 2.83% และอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ที่เข้าใกล้จุด Breakeven คาดเป็นปัจจัยกดดันเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดทุนในระยะสั้น ขณะที่การรายงาน GDP 1Q65 ของจีนในช่วงเช้าวันนี้ หากต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 4.4% จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

เราคาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET 1,655-1,675 จุด Index วันนี้มีโอกาสปรับฐานในกรอบ จากปัจจัยมหภาค เชิงกลยุทธ์ยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนัการลงทุนสำหรับการถือครองหุ้นระยะกลาง-ยาว แต่ Trading เป็นรายวันหากราคาหุ้นย่อตัวลงในช่วงต้นของการซื้อ-ขายโดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้ม Outperform ตลาดในระยะสั้นได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล, ท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหารที่มีสัดส่วนการส่งออกไปจีนในระดับต่ำ

หุ้นเด่นวันนี้ แนะนำ 4 ตัว   นำโดย   GFPT  ราคาหุ้นมีปัจจัยบวก ได้แก่ 1) คาดกำไร 1Q65 โตเด่น +300% YoY & QoQ เบื้องต้นคาดที่ 250 ลบ. 2)เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเทียบกับ USD เป็นบวกต่อหุ้นส่งออก 3)โอกาสในการรุกเข้าสู่ตลาดใหม่คือซาอุดิอาระเบียช่วยหนุนรายได้ใน 2H65

ขณะที่กำไรปี 2565 เราคาดที่ 1.15 พันลบ. เพิ่มขึ้น +384% YoY ขณะที่ฐานการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี Net DE เพียง 0.1 เท่า ธุรกิจอาหารมีความสามารถในการปรับขึ้นราคาจึงเป็นอีก 1 ธุรกิจที่มีความสามารถในการป้องกันเงินเฟ้อ

 

หุ้นเด่นถัดมาคือ   BDMS เราคาดรายได้ 1Q65 ที่ 2.26 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น +41% YOY และ +5% QoQ ทำสถิติสูงสุดใหม่จากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งจากการรักษาปกติและที่เกี่ยวข้องกับ  COVID ขณะที่การทยอยเปิดประเทศส่งผลให้เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ Medical Tourism บ้างแล้ว โดยเฉพาะลูกค้าจากตะวันออกกลาง 

ขณะที่กำไร 1Q65 คาดที่ 2.88 พันลบ. เติบโต +115% YoY และ +9% QoQ เราคงมุมมองบวกต่อหุ้นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในปี 2565 เนื่องจากคาดว่ากำไรจะเติบโตได้ดีกว่ากลุ่มเทียบกับโรงพยาบาลขนาดกลางเล็กที่มีรายได้จาก COVID ในสัดส่วนสูงจะมีกำไรที่ลดลง

 

หุ้นเด่นอีกตัวคือ  TOP ประเมินว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่นยังมี Sentiment บวก จาก 1)แรงเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q65 ที่คาดว่าจะออกมาดีทั้งกำไรปกติ และกำไรสุทธิ 2)สถานการณ์ในยูเครนยังคงยืดเยื้อเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกให้ทรงตัวในระดับสูง 

ขณะที่ 2Q65 มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว คือ การบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น GPSC สูงถึง 1 หมื่นลบ. ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทเด่นกว่ากลุ่มโรงกลั่น จึงคาดว่าราคาหุ้นควรจะ Outperform กลุ่มได้ รวมทั้ง Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซื้อขาย PBV ราว 0.87 เท่า

 

หุ้นเด่นสุดท้าย EKH ภาพทางเทคนิค แนวต้าน 8.15 บาท แนวรับ 7.90 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 7.70  บาท

หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลมีปัจจัยหนุนช่วงสั้น คือ ยอด COVID ในประเทศที่ยังทรงตัวในระดับสูง ขณะที่แนวโน้มมีโอกาสทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องจากการเดินทางของประชาชนในเทศกาลสงกรานต์ คาดหนุนรายได้ 1H65 ของกลุ่มโรงพยาบาล

บล.เอเซียพลัส   เปิดเผยว่า  นโยบายการเงินตึงตัวจะสร้างแรงกดดันเพิ่ม โดยให้ติดตามสถานการณ์ Covid-19 หลังสงกรานต์ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะไปอยู่ที่ระดับใด โดยล่าสุดวานนี้อยู่ที่ 128 ราย หากขึ้นไปสูงกว่า 200 ราย/วัน ก็น่าจะมีผลต่อแผนการผ่อนคลายมาตรการเช่น การยกเลิก Test&Go หรือThailand Pass รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อีกหนึ่งเรื่องใหญ่คือภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งยังมีสัญญาณการปรับสูงขึ้นต่เนี่อง โดยเงินเฟ้อสหรัฐเดือน มี.ค.อยู่ที่ 8.5% สูงกว่าคาด ขณะที่ PPI ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 11.2% ถือเป็นดัชนีชี้นำว่าเงินเฟ้อในเดือนถัดไปยังน่าจะปรับสูงขึ้นต่อ ทั้งนี้ผลดังกล่าวจะนำไปสู่การใช้นโยบายการเงินตึงตัวเชิงรุมากขึ้น โดยประชุม Fed เดือน พ.ค. คาดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% และต้องตามแนวทางในการลดขนาดงบดุลของ Fed ปัจจัยแวดล้อมยังสร้างแรงกดดันต่อ SET Index คาดผันผวนในกรอบ 1,668– 1,685 จุด พอร์จำลองให้นำเงินสดสำรอง 10% เข้าซื้อ BH หุ้น Top Pick  เลือก AOT, BH และ BLA

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส   บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)  เปิดเผยว่า     วันนี้คาด SET แกว่งตัวในกรอบ แนวรับ1,660 จุด และแนวต้าน 1,685 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเติบโตดี 

โดย หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ  AOT   คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวจาก 400,000 คนปีที่แล้วเป็น 9,000,000 คนในปีนี้ จะส่งผลให้ปีนี้เอโอทีขาดทุนเพียง 3,582,000,000 บาท น้อยลงจากขาดทุน 15,319 ล้านบาทในปีที่แล้ว และแนวโน้มกำไรจะกลับไปฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2567 ที่ระดับ 2.75 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2562

 

หุ้นเด่นอีกตัวคือ   CRC  คาดกำไรสุทธิไตรมาสหนึ่งปี 2565 ฟื้นตัวดีขานรับภาคการบริโภคที่ขยายตัวขึ้น โดยได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐหรือช็อปดีมีคืน หนุนSSSG ไตรมาส1 ปี65 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% อีกทั้งขาดรายได้จากทั้งเวียดนามและอิตาลีก็เติบโตได้ดีเช่นกันเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม

 

 

บล.ไทยพาณิชย์   คาด SET มีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้ต่อ โดยมีแนวต้าน 1,685 และ 1,695 จุด แนวรับ 1,670 และ 1,660 จุด จากความกังวล 1) ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีโอกาสพุ่งขึ้น หลังสงกรานต์ และ 2) นโยบายการเงินที่ตึงตัว เพื่อสกัดเงินเฟ้อของบรรดาธนาคารกลาง และ 3) ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน และตัวเลขเศรษฐกิจใน Q1/65 มีแนวโน้มชะลอตัว หลังได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานระดับสูง

หุ้นเด่นวันนี้  แนะนำ PTTEP (ราคาเป้าหมาย 182.00 บ.) ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นหลังกังวล EU กำลังร่างมาตรการคว่ำบาตรนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบ Brent +10.1%DoD และ WTI +9.4%WoW และ BDMS (ราคาเป้าหมาย 28.00 บ.)  ซึ่งทนทานความผันผวนของตลาดได้ดี โดย 1Q65 คาดกำไรปกติทำนิวไฮที่ 2.96 พันลบ. เพิ่มขึ้น 2 เท่า YoY ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังสงกรานต์จะช่วยเพิ่ม Upside ของประมาณการปี 65 ที่คาดจะเติบโต 21%YoY

ขณะที่ บล.กสิกรไทย   มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ   1,660-1,685 จุด     โดยหุ้นเด่นวันนี้แนะนำ 3 ตัวคือ AOT  ราคาปัจจุบัน 68.00 บาท เป้า 74 บาทหุ้นตัวต่อมาคือ BDMS ราคาปัจจุบันที่ 25.75 ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท  และหุ้นเด่นตัวสุดท้ายคือ NCAP ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 10.70 และราคาเป้าหมายที่  11.8 บาท

 

ที่มา : บล.หยวนต้า,  บล.เอเซียพลัส, บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ไทยพาณิชย์ ,บล.กสิกรไทย

 

ภาพประกอบข่าว : AFP,  TNN Online,พิกซาเบย์


ัyoda