ธนูสามดอก: วิถีสู่การฟื้นฟูตลาดทุนไทย
By ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ |
หุ้นไทยแย่ที่สุดในโลกในปีนี้ นับจากต้นปีที่ผ่านมา หุ้นไทยหดตัวแล้วกว่า -11.7% แย่กว่าอาร์เจนตินาที่ -5.2% อินโดนีเซีย -4.7% มาเลเซีย -3.5% อินเดียที่ -4.7% ขณะที่ตลาดในเศรษฐกิจที่น่าจะเสี่ยงจากสงครามการค้าอย่างตลาด ยุโรป เม็กซิโก แคนาดา และจีน ขยายตัวที่ 9.0% 9.3% 3.6% และ 0.6% ตามลำดับ
และหากมองภาพในระยะยาว หุ้นไทยมีทิศทางที่แกว่งตัวในระดับค่าเฉลี่ย 1200-1800 จุด โดยไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2555 หรือกว่า 13 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ระดับปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันในตลาดหุ้นลดลงหนักมาก เหลือเพียงระดับ 30,000-50,000 ล้านบาท ขณะที่เมื่อมองผลตอบแทนดัชนีหุ้นในช่วง 2-3 ปีหลัง จะพบว่าติดลบต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ที่ดัชนีติดลบถึง 15% และปี 2565 ที่บวกเพียงแค่ 0.7%

คำถามสำคัญคือ เกิดอะไรขึ้น คำตอบในส่วนของผู้เขียน มองว่า ปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่จะช่วยผลักดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้เติบโต ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (Macroeconomic factors) 2.โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน (Business model) 3.การกำกับดูแลกิจการที่ดี (ธรรมาภิบาล) (Corporate governance)
ในเรื่องของเศรษฐกิจ ค่าเฉลี่ยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 2% ต่อปี ขณะที่เงินเฟ้อ 1% ทำให้การเติบโตของ GDP รวมเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 3% เทียบไม่ได้เลยกับสหรัฐที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทยกว่า 50 เท่า โดย GDP รวมเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปี อยู่ที่ 5.2% (2.3+2.9) หรือแม้กระทั่งจีนที่โต 7.4% (5.8+1.6) และยุโรปที่โต 4.1% (1.7+2.4) ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจใหญ่กว่าเราประมาณ 35 เท่า
ด้านโมเดลธุรกิจของไทย ไม่ได้แย่เลย หากดูภาพใหญ่ อาจกล่าวได้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยค่อนข้างดีกว่าต่างประเทศด้วยซ้ำ โดยการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนต่อหุ้น (EPS) ของไทยเฉลี่ยที่รายงานโดย Bloomberg อยู่ที่ 13.4% ซึ่งถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยสูงกว่าสหรัฐ (10.1%) ยุโรป (6.6%) ญี่ปุ่น (8.4%) หรือจีน (10.7%) ที่ จะต่ำกว่าก็เพียง ไต้หวัน (15.5%) อินเดีย (16.5%) และเกาหลีใต้ (23.0%) เท่านั้น
ด้านธรรมาภิบาล เรามีปัญหามากในช่วงนี้ โดยบางส่วนเป็นปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลจริงๆ เช่น การยักยอกเงินของผู้บริหาร แต่บางส่วนก็อาจเป็นโมเดลการทำธุรกิจของผู้บริหารในลักษณะ Self-made entrepreneur หรือที่เรียกว่า “ลูกทุ่ง” โดยที่ไม่มีระบบระเบียบชัดเจน แต่ทำด้วยเจตนาดีและไม่ได้ตั้งใจจะโกง และในอีกบางส่วน อาจเป็นปัญหาเรื่องระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่ยังมีจุดอ่อนและต้องปรับปรุง
ปัญหาดังกล่าวไม่ต่างกับญี่ปุ่นในช่วงก่อนปี 2555 ที่มีปัญหาทั้งเศรษฐกิจที่โตต่ำ เผชิญกับกับดักเงินฝืด ดัชนี Nikkei ต่ำสุดที่กว่าระดับ 8,000 จุด และมีปัญหาธรรมาภิบาลในบริษัทขนาดใหญ่ เช่น กรณีอื้อฉาว Olympus ที่ปกปิดการขาดทุนจากการลงทุนกว่า 20 ปี ส่งผลให้มูลค่าบริษัทลดลง 80% และสั่นคลอนความเชื่อมั่นในธรรมาภิบาลของบริษัทญี่ปุ่น
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น เข้ามาบริหารประเทศ ได้ประกาศนโยบาย Abenomics หรือนโยบายธนู 3 ดอก ที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นพลิกฟื้นขึ้น และสามารถทำให้ดัชนี Nikkei เติบโตประมาณ 95% ใน 5 ปี (จาก 8,700 เป็น 17,000) โดยธนูทั้ง 3 ดอก ประกอบด้วย
(1) นโยบายการเงิน โดยการตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อให้ได้ 2% ผ่านการลดดอกเบี้ยเหลือ 0% และทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและคุณภาพ (Quantitative and Qualitative Easing)
(2) นโยบายการคลัง โดยปฏิรูปการคลัง โดยมีแผนให้สถานะการคลังยังยื่นในระยะยาวผ่านการขึ้นภาษี VAT แต่ในระยะสั้น ช่วยเหลือผู้เปราะบางและธุรกิจขนาดเล็กผ่านการเก็บอัตราภาษี VAT ไม่เท่ากัน และใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วย
แต่มาตรการที่สำคัญที่สูด และช่วยให้ดัชนี Nikkei พลิกฟื้นได้ ได้แก่ (3) นโยบายเชิงโครงสร้าง (Abe Corporate governance reform) ซึ่งมีนโยบายสำคัญ 2 ประการ คือ
1.การปฏิรูปคณะกรรมการของบริษัทจดทะเบียน โดยมีการเพิ่มบทบาทกรรมการอิสระ การส่งเสริมความหลากหลายทางเพศในคณะกรรมการ การเสริมสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล และการพัฒนากรอบการประเมินความเสี่ยง และ
2.บริษัทจดทะเบียนต้องมีแผนชัดเจนในการพัฒนาบริษัทให้เติบโตต่อเนื่อง เช่น มีแผนที่จะทำให้ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) ขั้นต่ำ 5% อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของไทย ผู้เขียนมองว่า ถ้ายังไม่มีการปรับปรุงในเชิงนโยบายการเงินการคลังตามรูปแบบธนูสองดอกแรกตามรูปแบบ Abenomics เศรษฐกิจของไทยก็ยากที่จะฟื้นตัวขึ้น ท่ามกลางจุดอ่อนเศรษฐกิจของไทยและญี่ปุ่นที่เหมือนกัน เช่น เผชิญกับกับดักเงินฝืด ภาวะสังคมสูงวัย และล่วงเลยจากช่วงของการเติบโตเร็ว (ในช่วงทศวรรษ 1980-1990) แต่เพราะความชาญฉลาดและตั้งใจจริงของอาเบะ ทำให้เศรษฐกิจและตลาดทุนญี่ปุ่นฟื้นขึ้นได้บ้างแม้มีปัจจัยกดรั้งเชิงโครงสร้าง
ในส่วนของตลาดทุน ผู้เขียนเห็นว่าแนวคิด Jump+ มีความสอดคล้องกับนโยบายลูกธนูสามดอก โดยเฉพาะดอกที่สามได้ในระดับหนึ่ง โดยโครงการ Jump+ เป็นมาตรการกระตุ้นตลาดทุนระยะกลางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่จะสนับสนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 2 รูปแบบหลัก คือ
(1) ยกเว้นภาษีกำไรส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าร่วมโครงการ 3 ปี หากสามารถเติบโตตามแผนที่วางไว้ และ
(2) “นิรโทษกรรมภาษี” หรือยกเว้นการเก็บภาษีย้อนหลังสำหรับบริษัทนอกตลาดที่ถูกควบรวมกิจการโดยบริษัทในโครงการ โดยจะเริ่มดำเนินการ พ.ค. 2568 ด้วยเป้าหมายบริษัทเข้าร่วม 50 ราย
อย่างไรก็ตาม มาตรการจะยังไม่สัมฤทธิผล หากแก้ปัญหาด้านธรรมาภิบาลให้กับตลาดทุนไทยไม่ได้ ผู้เขียนเชื่อว่า พ.ร.ก.ฟื้นฟูความเชื่อมั่นและยกระดับธรรมาภิบาลของตลาดทุนไทย ที่รัฐบาลกำลังจะออกในไม่ช้า (ตามการให้สัมภาษณ์ของ รมว. คลังและผู้กำกับนโยบายด้านตลาดเงินตลาดทุน) จะต้องเน้นในหลายประเด็นสำคัญ เช่น (1) การกำกับดูแลการซื้อขาย โดยเฉพาะการขายชอร์ต (Naked short) (2) การคุ้มครองผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นกู้ (แก้ปัญหาวิกฤติหุ้นกู้) และ (3) การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย ผ่านการจัดตั้งหน่วยสอบสวนคดีพิเศษให้ กลต.
มาตรการเหล่านี้อาจเป็นบันไดขั้นแรกในการสร้าง Trust and Confidence ให้ตลาดเงินตลาดทุนไทยได้บ้าง แต่ผู้เขียนมองว่าจะพลิกฟื้นตลาดทุนไทย ธนูดอกที่หนึ่งและสองต้องมา ไม่เช่นนั้น ธนูดอกที่สามที่ยิงไปก็จะสูญเปล่า ไม่เหลืออะไรเลย
*บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1168361