เจาะไตรมาส 2 หุ้น “กลุ่มซีพี”
CPALL-MAKRO กำไรโตกระฉูด !

.
ประกาศออกมาครบแล้วสำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/66 ของหุ้นกลุ่มซีพี เครือธุรกิจยักษ์ใหญ่ของไทย ซึ่งมีทั้งบริษัทที่ผลประกอบการออกมาฟื้นตัวตามคาด และผลประกอบการต่ำกว่าคาด ดังนั้น Wealthy Thai จะพามาดูแนวโน้มการดำเนินในไตรมาส 2/66 ของหุ้นกลุ่มซีพี ได้แก่ CPALL MAKRO CPF และ TRUE มาดูกันว่าแต่ละบริษัทจะมีผลงานเป็นอย่างไร
.
มาเริ่มที่ CPALL โดยนักวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า แนวโน้มการดำเนินงาน คาดไตรมาส 2/66 กำไรปกติจะโตเร่งขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 3.5-4 พันล้านบาท หนุนจากอากาศหน้าร้อนกว่าปีก่อนๆ, กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจที่ดูคึกคักมากขึ้นตามการท่องเที่ยว, การใช้จ่ายช่วงเลือกตั้งและการเปิดภาคเรียน คาดทำให้ยอดขายต่อสาขา (SSSG) ของร้านเซเว่นยังบวกสูง โดยเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 5-8% , การปรับใช้ต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยรอบใหม่ (เริ่มพ.ค. 66) ที่ถูกลง 12% คาดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค (รวมMAKRO) ลง 200-300 ล้านบาทต่อเดือน
.
ดังนั้น ยังคงคาดกำไรปกติปี 66 ที่ 1.85 หมื่นล้านบาท เติบโตสูง 40% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 2/66 CPALL จะมีแรงหนุนจากต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยที่ลดลง ส่วนครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยบวกเพิ่มจากดอกเบี้ยจ่ายของโลตัสที่น้อยลงหลังรีไฟแนนซ์เสร็จแล้วในกลางไตรมาส 2/66 ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยถูกลงราว 100bps ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับขึ้นมาพอสมควรแล้ว จนเหลือ upside จำกัด ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำลงเป็น ซื้อเก็งกำไร จากเดิม ซื้อ โดยคงราคาเป้าหมายที่ 70
.
ถัดมา MAKRO นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินแนวโน้มไตรมาส 2/66 กำไรจะโตเร่งขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า จาก SSSG ในเดือนเม.ย.ของธุรกิจค้าส่งยังบวก 6-8%, ต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยที่จะเริ่มลดลงตาม FT ราว 0.63 บาท (ลดลง 12% จากเดือนหน้า) คาดช่วยประหยัดค่าไฟเฉลี่ย 100-120 ล้านบาทต่อเดือน และคาดต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มลดลงหลังคาดรีไฟแนนซ์เงินกู้โลตัสเสร็จในกลางไตรมาส 2/66 ทั้งนี้ คาดกำไรปกติในปี 66 ฟื้นตัวแรง 47% เป็น 1.1 หมื่นล้านบาท
.
พร้อมคงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมายที่ 38.5 บาท แม้จะมองบวกต่อการฟื้นตัวของกำไรในปีนี้และเชื่อว่าราคาหุ้นระยะสั้นอาจจะได้รับแรงหนุนเก็งกำไรจากการได้รับเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI อย่างไรก็ดีราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER ปี 66 ที่ 38.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลังจึงแนะนำพียงถือ
.
สำหรับ CPF นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินแนวโน้มไตรมาส 2/66 เบื้องต้นคาดจะยังมีผลประกอบการขาดทุน แต่ขาดทุนลดลงจากไตรมาส 1/66 จากแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยหมูในประเทศและเวียดนามเริ่มฟื้นตัว ขณะที่จีนได้ประโยชน์จากการบริโภคที่ดีขึ้นหลังเปิดประเทศ แนวโน้มต้นทุนการเลี้ยงคาดจะยังทรงตัวระดับสูง และคาดจะเริ่มชะลอได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
.
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง 67% และ 24% เป็น 1.4 พันล้านบาท ลดลง 87.1% และ 5.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 324.5% ตามลำดับ จากผลประกอบการไตรมาส 1/66 ที่อ่อนแอมากกว่าที่ประเมินไว้ จากธุรกิจ CTI ในจีน จึงปรับสมมติฐานส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลง 49.8% เป็น 1.78 พันล้านบาท
.
โดยผลของการปรับประมาณการลง ทำให้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 66 ถูกปรับลดลงเป็น 20.50 บาท และคงคำแนะนำ เก็งกำไร แต่ในเชิงกลยุทธ์ระยะสั้นยังขาดปัจจัยบวกหนุนแนะนำชะลอการลงทุนโดยให้รอสถานการณ์ที่ราคาหมูในประเทศกลับมาเป็นทิศทางขาขึ้นหรือหมูในจีนปรับขึ้นชัดเจน
.
ส่วน TRUE นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดจะเห็นการ Synergy มากขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลังและจะเห็นชัดเจนในปี 2567 อย่างไรก็ดีผลขาดทุนในไตรมาส 1/66 ทำให้ประมาณการปี 2566 มีกำไรปกติ 3.5 พันล้านบาทของฝ่ายวิเคราะห์มีความท้าทายและมีโอกาสเกิด Downside Risk ดังนั้นจะพิจารณาความเหมาะสมของประมาณการอีกครั้งในช่วง preview ผลประกอบการไตรมาส 2/66
.
สำหรับแนวโน้มปี 2566 เป้าหมาย Service revenue ex. IC และ EBITDA ไม่เติบโตจากปีก่อน คาดจะสร้างความผิดหวังให้กับตลาด เนื่องจากตลาดจะกังวลว่า Synergy มีโอกาสเกิดขึ้นช้ากว่าคาดหรือไม่ ในแง่ดี CAPEX ที่ระดับ 2.5-3 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่า CAPEX รวมของ TRUEE และ DTAC เดิมรวมกันที่ราว 3.5-4 หมื่นล้านบาทต่อปีอย่างมีนัยยะ
.
ให้คำแนะนำ ซื้อ คงประมาณการและราคาเหมาะสมสิ้นปี 2566 ที่ 10.40 บา คาดหุ้นตอบสนองเชิงลบก่อนจากผลขาดทุนและความเสี่ยงที่ Synergy จะเกิดช้า อย่างไรก็ดีการลงทุนใน TRUE เป็นการลงทุนระยะยาวโดยนักลงทุนต้องคาดหวัง Synergy ให้เกิดขึ้นระดับ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี หนุนให้เกิดกำไรส่วนเพิ่มและต้องให้เวลาผู้บริหารในการทำให้เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะต้องการเวลาอย่างน้อย 6-12 เดือนในการลดต้นทุน
.
ดังนั้นเชิงกลยุทธ์ช่วงครึ่งปีแรก ชอบ ADVANC มากกว่าTRUE เพราะได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่ลดลงโดยตรงและไม่ต้องลุ้นกับการลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน