มาอีกแล้วหุ้นเด้งดึ๋ง ตะบึงวิ่ง ซิ่งเกิน 1000% หรือ 10 เท่า !!!

.
รอบนี้คือหุ้น บมจ.อินทรประกันภัย (INSURE) ที่ราคาหุ้นใช้เวลาเพียงแค่กว่า 3 เดือน พุ่งไปสูงสุดถึง 1,414% เรียกได้ว่าทะยานไกลแบบไร้เหตุผล และไม่ต้องการความเข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้น...
.
นักลงทุนอาจจะงงว่า INSURE หุ้นไรวะ ? ไม่คุ้นเลย ผมเองก็ยังงง เดิมนึกว่าชื่อหมวดธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ จึงไปหาข้อมูลมาแชร์กัน
.
INSURE คือผู้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยทุกประเภท เช่น อัคคีภัย ภัยทางทะเลและขนส่ง รถยนต์และอุบัติเหตุเบ็ดเตล็ด
.
เข้าเทรด SET มาตั้งแต่ 1 มี.ค.34 (อยู่มานานมาก) แต่สาเหตุที่ไม่คุ้นตาเลยก็เพราะ หุ้นตัวนี้แทบไม่มีใครเทรด มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรอบ 5 ปีหลัง (2560-64) เพียง 0.23 ล้านบาท เท่านั้น !!!
.
ข่าวคราวธุรกิจก็แทบไม่ปรากฎในหน้าสื่อใด ๆ เลย มีเพียงรายงานงบการเงินรายไตรมาส, กำหนดการประชุมผู้ถือหุ้น หรือเปลี่ยนกรรมการบ้าง แค่นั้น...
.
ส่วนความเคลื่อนไหวราคาหุ้น ตั้งแต่ขายไอพีโอเข้ามาที่ 36 บาท (พาร์ 10 บาท และไม่เคยเปลี่ยนแปลงพาร์) เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 152 บาท เมื่อปี 37 หรือ 3 ปีหลังจากเข้าตลาดฯ แต่จากนั้นก็สาละวันเตี้ยลงจนเคยไปต่ำสุดเหลือเพียง 9.50 บาท เมื่อปี 42 และราคาหุ้นก็วนเวียนอยู่หลักสิบไม่เคยเกิน 100 บาทได้อีก เป็นเวลากว่า 10 ปี
.
กระทั้งปี 55 ราคาทะลุ 100 บาท ได้อีกครั้ง แต่คราวนี้ไปได้ไกลสุดที่ 128 บาท และก็วนลูปเดิม ไหลลงแบบไร้สภาพคล่อง จนปี 62 ลงไปลึกถึง 19 บาท
.
เอาใกล้ ๆ ก็ช่วงกว่า 5 ปีหลัง (1 ม.ค.60 - 30 เม.ย.65) ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบ 19 - 88 บาท มีราคาเฉลี่ยที่ 38.48 บาท มีรายการซื้อขายเพียง 1,531 ครั้ง เฉลี่ย 1 ครั้งต่อวัน !!! มูลค่าการซื้อขายรวมเพียง 282 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 0.22 ล้านบาทต่อวัน !!! (หุ้นซิ่งหลายตัวซื้อขายวันเดียวยังมากกว่านี้หลายขุม)
.
จนวันที่ 13 พ.ค.65 เท่านั้นแหล่ะ อยู่ดี ๆ ราคาดีดทำซิลลิ่ง (Ceiling) เฉย และเพื่อความสะใจพี่แกซิลลิ่งไป 6 วันติด ตั้งแต่ 13 - 23 พ.ค.65 (ไม่รวมวันหยุด) จากราคาปิด 10 พ.ค.ที่ 46.25 พุ่งไปจบวันที่ 23 พ.ค.ระดับ 221 บาท หรือบวกไป 378% เพียง 6 วันทำการ
.
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ขาขึ้นอย่างเต็มตัว (อาจจะมีแรงขายกดราคาพักฐานบ้าง แต่เหมือนสร้างฐานใหม่เพื่อไปต่อ) กระทั้ง 9-16 ส.ค. (ไม่รวมวันหยุด) ราคาหุ้นก็ดีดทำซิลลิ่งอีกแล้ว รอบนี้ 5 วันติด และวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ราคาขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดกาลตั้งแต่เข้าเทรดที่ 700 บาท
.
INSURE ใช้เวลาเพียงกว่า 3 เดือน หรือ 67 วันทำการ (13 พ.ค. - 17 ส.ค.) พุ่งไป 1,414% จริง ๆ หากนับแค่ 10 เด้งหรือ 1,000% ใช้เวลาน้อยกว่านั้นอีก
.
ทีนี้ถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ INSURE พุ่งบ้าคลั่งในช่วงเวลาสั้น ๆ แบบนี้ ?
.
สาเหตุลึก ๆ ไม่มีใครรู้แน่ ต้องไปถามผู้ที่เกี่ยวข้องข้างในบริษัทฯ หรือคนที่ได้กำไรมหาศาลจากการซื้อหุ้นโลว์โปรไฟล์ตัวนี้
.
แต่ตอบได้จากข้อเท็จจริงที่พอจะหาได้ คือ งบการเงินครึ่งแรกปีนี้ ดีมากกกกกกกกกกก
.
จากบริษัทที่มีผลประกอบการปี 62 - 64 รายได้อยู่ที่ 431 ล้านบาท, 310 ล้านบาท และ 327 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิอยู่ที่ -3 ล้านบาท, -22 ล้านบาท, 14 ล้านบาท ตามลำดับ
.
แม่เจ้า !!! ครึ่งแรกปี 65 มีรายได้โดดมาเป็น 1,369 ล้านบาท กำไรสุทธิ 706 ล้านบาท เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว (เหมือนราคาหุ้นเลยเชียว) คิดดูขนาดราคาวิ่งมาระดับนี้ มี P/E เพียง 5.79 เท่า (ณ ราคาปิด 23 ส.ค.65 ที่ 420 บาท) โดยมาร์เก็ตแคปเพิ่มเป็น 4,400 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนเพียง 370 ล้านบาท
.
แต่พอจะไปดูคำอธิบายงบการเงินเพื่อหาคำตอบ กลับชี้แจงไว้เพียง "ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนการประกันภัยต่อให้กับบริษัทรับประกันภัยต่อ" เท่านั้นสั้น ๆ จบ คือแทบไม่มีรายละเอียดใดเลย...
.
เมื่อไปดูโครงสร้างการถือหุ้นใหญ่ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่ ปรากฎว่า เหมือนเดิม... ผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรกยังถือครองหุ้นเท่าเดิมเป๊ะ ๆ มา 6 ปีแล้ว (60-65) โดยบริษัท รถดีเด็ด ออโต้ จำกัด ครองเบอร์หนึ่งสัดส่วน 75.06% เหมือนเดิม
.
ส่วนรายย่อยก็มีน้อยนิดเช่นเดิม ล่าสุด ณ ปิดสมุด 16 มี.ค.65 มีคนถือเพียง 210 ราย คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (% Free float) 24.92%
.
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะวิ่งกระฉูดแบบนี้ สภาพคล่องก็ยังไม่สู้ดีนัก เพราะตั้งแต่ 13 พ.ค. - 23 ส.ค.65 แม้มูลค่าการซื้อขายรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 129 ล้านบาท (เกือบครึ่งของการซื้อขาย 5 ปีหลัง) หรือ 1.93 ล้านบาทต่อวัน แต่ก็ยังถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับหุ้นซิ่งทั่วไปที่ซื้อขายกันหลักร้อยล้านพันล้านบาทต่อวัน
.
ที่สำคัญหลังจากราคาขึ้นทำ All time High ที่ 700 บาท ก็มีแรงขายออกมาทันที วันที่ 22 ส.ค.ลงไปต่ำสุด 330 บาท หรือลดลงถึง 53% เมื่อเทียบราคาไฮ
.
แม้จะรีบาวด์แรง ๆ กลับมาได้ใน 2 วันล่าสุด +24.26% (23 ส.ค.) และ +18% (24 ส.ค.) จนกลับมาปิดที่ 438 บาท แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาไฮโขเลย
.
ก็จับตาดูไว้เป็นการศึกษาแล้วกันเนอะ สำหรับนักลงทุนรายย่อยทั้งหลาย เพราะหุ้นตัวนี้ข้อมูลน้อยมาก แถมสภาพคล่องต่ำ ราคาก็เริ่มลงแล้ว อาจจะเสี่ยงเกินไปในแง่การเก็งกำไร...
.