ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นครึ่งปีหลังทุนนอกทะลัก

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
62 views

การเมืองปึ้กหุ้นทะยาน กำเงินสดรอครึ่งปีหลังทุนนอกทะลัก

 

กูรู ตลาดหุ้นฟันธงครึ่งปีหลังทุนนอกไหลเข้าแนะกำเงินสดรอจังหวะตลาดหุ้นปรับฐานครึ่งปีหลังหวังเสถียรภาพรัฐบาลใหม่ 275 เสียงออกนโยบายหนุนส่งเสริมตลาดทุนกระตุ้นบริโภคภายใน ท่องเที่ยว

หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ จัดสัมมนาเรื่อง “ตลาดหุ้นไทย ภายใต้รัฐบาลใหม่ : ลงทุนอย่างไรให้ปัง” เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2562 โดยนางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)

บัวหลวง จำกัด นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน) และนายวิทัย รัตนากร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)ร่วมเสวนาในหัวข้อ “จัดพอร์ตอย่างไร ภายใต้รัฐบาลใหม่” 

 

แนะถือเงินสด10%

นางวรวรรณระบุว่า ส่วนตัวมองว่า รัฐบาลใหม่ต้องรวมเสียงให้ได้ 275 เสียง เพื่อสนับสนุนการออกนโยบายต่างๆและเสนองบประมาณประจำปี63 ซึ่งหากรวมได้ 275 เสียงจะมี“เงินไหลเข้า”เพราะเงินทุนพร้อมจะเข้ามาอยู่แล้ว เห็นได้จาก MSCI ปรับนํ้าหนักทำมูลค่าการซื้อขายทะลักเข้ามา ดังนั้นอยากฝากถึงรัฐบาลใหม่ เมื่อเข้าบริหารประเทศ ออกนโยบายส่งเสริมตลาดทุนไทย ทั้งกองทุนรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับควรเกิดได้แล้ว 

ปัจจุบันการลงทุนทั่วโลกกำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการเติบโตหรือ Late Cycle และอัตราดอกเบี้ยที่ตํ่ามาก รัฐบาลจึงไม่ควรจะทำอะไรซํ้าเติมตลาดทุนและควรจะสนับสนุนการลงทุนระยะยาว เพื่อความเข้มแข็งทางการเงินของประชาชนและภาคธุรกิจ และขอให้ใช้ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนให้เอสเอ็มอีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อให้ตลาดทุนมีส่วนช่วยเศรษฐกิจและสังคมไทยมั่นคง 

ซึ่งในแง่ Late Cycle นั้น เจพีมอร์แกนได้ศึกษาข้อมูลดัชนี S&P500 ย้อนหลัง 20 ปี (2541-2561) พบว่า นักลงทุนกระโดดออกจากเรือเมื่อมีปะทะกับคลื่นใหญ่ เป็นการทำลายกฎการลงทุนพื้นฐานคือ Sell Low เพราะนักลงทุนขายหุ้นทันทีถัดจากวันที่แย่ แต่หลังจากหุ้นตก มีแนวโน้มที่หุ้นจะกลับขึ้นมาอีกในไม่ช้า 

“อย่างวันที่ดีที่สุดคือ 13 ตุลาคม 2551 วันที่แย่ที่สุดคือ 9 ตุลาคม 2551 ห่างกันแค่ 2 วันถ้าไม่กระโดดออกจากเรือ S&P500 จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.57% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ถ้าไม่กระโดดออกจากเรือจะได้ผลตอบแทนปีละ 7.07% ชี้ให้เห็นว่า ยิ่งลงทุนยาวความผันผวนหรือโอกาสผิดพลาดจะลดลง”

สิ่งที่อยากฝากไปถึงรัฐบาลคือ ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนพนัน แม้จะมีผู้ลงทุนบางส่วนทำเหมือนตลาดหุ้นเป็นบ่อนพนัน แต่มีนักลงทุนจำนวนมากที่อาศัยตลาดหุ้นเป็นช่องทางสร้างความมั่นคงในชีวิตบั้นปลาย ที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่เข้าใจความสำคัญของตลาดหุ้น มองตลาดหุ้นเป็นผู้ร้าย เป็นบ่อนพนัน หรือมองกองทุนระยะยาวและเพื่อเกษียณเป็นอะไรที่ไม่ควรได้การสนับสนุนด้านภาษี แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงตัวในยามชราภาพ”

 

 

สำหรับกลุ่มที่ควรลงทุนคือ หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหัวใจของเมกะเทรนด์ และกลุ่มค้าปลีกที่จะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นจากรัฐบาลใหม่ และในภาวะที่ผันผวนสูง ต้องตั้งการ์ดลงทุน กระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยถือเงินสดสัก 10% เพราะครึ่งหลังตลาดหุ้นจะปรับฐานอีกครั้ง จากความกังวลจากปัจจัยภายนอกและอัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ปรับลดลง จึงเป็นโอกาสที่จะซื้อหุ้นเพิ่ม 

 

 

 

 
 

กิมเอ็งเมย์แบงก์ชูพอร์ต 3 ใจ

นายมนตรีกล่าวว่า 5 ปีที่ผ่านมา ทุกคนบ่นเศรษฐกิจไม่ดี พูดตรงๆ เป็นกันทั้งโลก ไปดูสหรัฐที่ขายเก่ง ร้านค้าขายยังต้องปิดไปหลายสาขาและปลดพนักงานออก(Layoff) ถ้าดูศักยภาพเศรษฐกิจจากสัญญาณค่าเงินในอาเซียน สิงคโปร์ดอลลาร์อ่อนค่ากว่า 10% ฟิลิปปินส์ 21% อินโดนีเซีย 22% มาเลเซีย 30% แต่เงินบาทของไทยแข็งขึ้นมา 1% สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย ขณะที่เศรษฐกิจโลกอ่อนตัวลง แต่ภาคท่องเที่ยวของไทยยังมีจำนวนนักท่องเพิ่ม เที่ยวปีที่แล้วเพิ่ม 38 ล้านคนหรือ ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่อันดับที่ 12 ของโลกเป็นรองเพียงสิงคโปร์ แต่ไทยมากกว่าเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศในภูมิภาคอาเซียน

“เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บรรยากาศลงทุนดีขึ้น ถ้าการเมืองกลับมามีเสถียรภาพ ก็จะไปได้ ซึ่งไม่ว่า พรรคไหนจัดตั้งรัฐบาล ตลาดหุ้นไทยก็ขึ้น ผมหวังว่า คนไทยจะช่วยกันและการเมืองจะมีเสถียรภาพและตลาดหุ้นจะเดินหน้า โดยอดีตที่ผ่านมา มีฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น เรื่องคดีขอให้ใช้เนื้อหาคุยกัน ที่สำคัญให้ทำหน้าที่กันในสภา”

สำหรับคำแนะนำในการจัดพอร์ตลงทุนแต่ละเดือนควรลงเท่ากันเน้นลงทุนระยะยาว 10 ปีเพื่อลดความเสี่ยง เช่น 70% ลงในกองทุนรวมที่เหลืออีก 20-30% ฝึกเล่นและติดตามตลาดหุ้นเอง ขณะที่บริษัทได้ออกแบบไว้ 3 พอร์ตใจ ได้แก่ พอร์ตไร้ใจ ถือเงินสด 40% ลงทุนในหุ้น 6 ตัว,พอร์ตอุ่นใจ ลงทุนในหุ้น 20% เป็นการลงทุนมองความยั่งยืนเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนอินฟราฟันด์ เพื่อรับเงินปันผลและพอร์ตใส่ใจแนะถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่ เพราะความไม่แน่นอนเพื่อรอโอกาสช้อนหุ้น และลงทุนหุ้น 40% โดยดูปัจจัยพื้นฐาน 

 

มั่นใจตลาดหุ้นไทยไปต่อ

นายวิทัยกล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในหุ้นภูมิภาคเอเชียและตลาดหุ้นไทยอยู่อันดับ 9 จาก 18 ประเทศตลาดเกิดใหม่ แต่ภาพความเสี่ยงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นตกทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐฯและไทยด้วย ซึ่งในมุมนักลงทุนสถาบันอยู่ในโหมดระมัดระวัง แต่ไม่ถึงกับขายสุทธิทั้งจำนวน เพราะไทยยังเป็นที่พักเงินปลอดภัยในสายตานักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าอยู่เพียงประเทศเดียวเมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศภูมิภาค แต่สาเหตุที่เงินยังไม่เข้ามาในตลาดหุ้น ส่วนหนึ่งเพราะ ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 15 เท่า ซึ่งแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านและปัจจัยการเมือง ที่นักลงทุนรอความชัดเจนเสถียรภาพของรัฐบาล

“ตลาดหุ้นไทยลงทุนต่อได้ มีปัจจัยใหม่ในระยะกลางและสิ้นปี เมื่อรัฐบาลเข้ามาบางเซ็กเตอร์ก็ไปได้ อาจจะมีโอกาสราคาปรับลดระยะสั้น แต่หุ้นไทยปรับขึ้นไปไม่ไกลและราคาแพง ซึ่งเราอยู่ในช่วงที่ขึ้นไม่มากลงก็ไม่เยอะ แต่ถ้ารัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเชื่อว่า ตลาดหุ้นน่าจะดี ปลายปีมองมากกว่า 1600-1650 จุด”

อย่างไรก็ตามส่วนตัวยังมองการออมเพื่อการเกษียณเป็นเรื่องที่จำเป็น ในหลักการลงทุนคือ ต้องมองให้เร็วและมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนโดยควรเริ่มออมตั้งแต่อายุ 30-40 ปี เพราะแนวโน้มการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
จะยาวขึ้น (อายุยืนขึ้น) โดยแนะลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีค่าพี/อีตํ่าเช่น ธนาคารอุปโภคบริโภค สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน กองทุนโครงสร้างพื้นฐานกองทุนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์( REITs) 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree