หวั่น 'สื่อสาร' หนี้ขยับ ดอกเบี้ยขาขึ้นแบกภาระเพิ่ม
นักวิเคราะห์กังวล กลุ่มสื่อสาร "หนี้ขยับ" จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้แบกภาระเพิ่ม
เมื่อเข้าสู่กระแสแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้บริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยหลายแห่ง ต้องรับภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนทางการเงินที่อาจสูงขึ้น หากไม่ได้เตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้
ทั้งนี้ บล.เอเซียพลัสประเมินว่า ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมหรือภาคบริการอื่นๆ แม้จะมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนใกล้เคียงหรือมากกว่า 1 เท่า แต่ส่วนใหญ่ได้มีการปรับรู้แบบการกู้ยืมที่เป็นดอกเบี้ยคงที่ คือ การออกหุ้นกู้ยืม (Debenture) ที่มีระยะเวลานาน ผลกระทบต่อการขึ้นดอกเบี้ยในระยะ 1-2 ปีนี้จึงกระทบอย่างจำกัด
กลุ่มสื่อสาร ทางด้าน Operator 3 ราย แม้อัตราส่วนหนี้ภายนอก (IBD) ต่อส่วนทุน (Gearing ratio) ไม่สูงมาก แต่น่าเป็นห่วงในบางบริษัท กล่าวคือ บริษัทดีแทค มี Net gearing ratio 1.1 เท่า ณ สิ้นปี 2559 (D/E 3.25 เท่า) โดยมีหนี้สินรวม 4.9 หมื่นล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน 4.55 หมื่นล้านบาท หรือ ราว 92.5% เท่านั้น ซึ่งมีต้นทุนดอกเบี้ยลอยตัว ที่เหลือส่วนที่เป็นดอกเบี้ยคงที่ (การออกหุ้นกู้ระยะยาว) จึงอาจจะกระทบจากดอกเบี้ยที่กำลังเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ขณะเดียวกันยังมีปัญหาที่คลื่นให้บริการน้อย ทำให้ประสิทธิภาพการให้บริการสูงคู่แข่งขันอีก 2 รายไม่ได้ ทำให้ผลประกอบการถดถอย
ส่วนบริษัททรูฯ มี Net gearing ratio ต่ำเพียง 0.52 เท่า ณ สิ้นปี 2559 (D/E 2.4 เพราะมีหนี้สิน supplier และหนี้สินค่าใบอนุญาตค้างชำระ) โดยมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยรวม 1.188 แสนล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน (ดอกเบี้ยลอยตัว) เพียง 1.678 หมื่นล้านบาท หรือ ราว 14% เท่านั้นที่เหลือส่วนใหญ่ เป็นหนี้สินที่เกิดจากการออกหุ้นระยะยาว ซึ่งมีดอกเบี้ยตายตัว จึงดูเหมือนกระทบน้อย แต่ด้วยยอดหนี้สินจำนวนมาก และทรูฯ มีต้นทุนคงที่สูงจากการเป็นเจ้าของคลื่นความถี่จำนวนมากและค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูง จึงกดดันให้ผลประกอบการขาดทุนและมีกระแสเงินสดติดลบต่อเนื่องอีกนาน
ขณะที่ บริษัทแอดวานซ์ หรือเอไอเอส มี net gearing ratio ราว 2.0 เท่า ณ สิ้นปี 2559 (D/E 5.45 เพราะมีหนี้สิน supplier และหนี้สินค่าใบอนุญาตคลื่นค้างชำระ) โดยมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยรวม 9.8 หมื่นล้านบาท แต่ในจำนวนนี้เป็นหนี้กับสถาบันการเงินเพียง 2.7 หมื่นล้านบาท หรือ ราว 27.6% เท่านั้น (ดอกเบี้ยลอยตัว) ที่เหลือส่วนใหญ่ 72.4% เป็นหนี้สินที่เกิดจากการออกหุ้นระยะยาว (Debenture) ซึ่งมีดอกเบี้ยคงที่
ส่วนผู้ประกอบการในกลุ่มสื่อสารที่เหลือ น่าจะมีผลกระทบต่อแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นกัน แม้จะมี net gearing ต่ำกว่า 1 เท่า คือบริษัทไทยคมมี net gearing ratio 0.21 เท่า (D/E 0.75 เท่า) แต่จากหนี้สินที่มีอยู่ปัจจุบัน 1 หมื่นล้านบาท พบว่าเป็นเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 53% ซึ่งเป็นส่วนที่ดอกเบี้ยลอยตัว (ที่เหลือ 47%) เป็นการออกพันธบัตรจึงน่าจะกระทบระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม บริษัทจัสมิน มี net gearing ratio 0.58 เท่า (D/E 3.55 เท่า) ปัจจุบันมีหนี้สิน 8.8 พันล้านบาท แต่จำนวนนี้เป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 75% ซึ่งเป็นส่วนที่ดอกเบี้ยลอยตัว (ส่วนน้อยเป็นการออกพันธบัตรซึ่งดอกเบี้ยคงที่) จึงน่าจะกระทบมากอีกบริษัทหนึ่ง
ที่มา..กรุงเทพธุรกิจออนไลน์