เปิดโผ 7 หุ้น รับผลบวก “January Effect”
สะสมวันนี้ ลุ้นราคาขึ้นเดือนม.ค. ปีหน้า !!

.
January Effect เป็นทฤษฎีที่ว่าในทุกๆเดือนม.ค. ตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากกองทุนหรือนักลงทุนสถาบันในสหรัฐฯ มักจะขายหุ้นที่ถืออยู่ออกไปในช่วงเดือนธ.ค. เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แล้วจึงกลับเข้ามาซื้อหุ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม ทำให้ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นๆ ปรับตัวสูงขึ้น
.
เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นักลงทุนส่วนหนึ่งจึงมีการเข้าซื้อหุ้นรอไว้ตั้งแต่เดือนธ.ค. และขายหุ้นออกไปในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาหุ้นปรับขึ้น ทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ในปี 2566 จะมีเหตุการณ์ January Effect เกิดขึ้นหรือไม่ นักลงทุนควรเข้าเก็บหุ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2565 ไหม วันนี้ Wealthy Thai มีมุมมองจากนักวิเคราะห์มาฝาก
.
โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เมื่อดูข้อมูลย้อนหลังในตลาดหุ้น S&P500 พบว่าตั้งแต่ปี 2556-2565 ตลาดหุ้น S&P500 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 4 ปี จาก 10 ปี ฝ่ายวิจัยจึงสรุปว่าตลาดหุ้น S&P500 ไม่มี January Effect แต่เมื่อมาดูข้อมูลของ SET INDEX กลับพบว่าตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในเดือนม.ค. โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี จาก 10 ปี เฉลี่ยราว 1.9% ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าเกิดจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์มักประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนั้นๆ จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จึงทำให้เกิดการเข้าสะสมหุ้นในช่วงเดือนม.ค. อยู่เสมอ โดยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
.
1. กลุ่มธนาคาร ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.0% โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวก 9 ปี และให้ผลตอบแทนติดลบเพียงปีเดียวคือปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด Covid-19
.
2. กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.0% เช่นกัน และให้ผลตอบแทนเป็นบวก 8 ปี จาก 10 ปี
.
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +2.2% และให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี จาก 10 ปีย้อนหลัง
.
ทั้งนี้เป็นข้อสังเกตุว่ากลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีทั้ง 3 กลุ่มเป็นกลุ่มที่มีความสอดคล้องต่อภาวะ เศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
.
สำหรับปี 2566 ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีความเสี่ยงเรื่องของการเกิด Recession แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่า SET INDEX จะปรับตัวขึ้นได้ดีในเดือนม.ค. 2566 เนื่องจาก 1. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังเติบโตในอัตราเร่ง
.
โดยประเมินว่า GDP ปี 2566 จะเติบโตที่ระดับ 3.8% เร่งขึ้นจากปี 2565 ที่ระดับ 3.2%, 2. จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Zero-Covid อย่างต่อเนื่อง และมีหลายแหล่งข่าวรายงานว่าจีนจะลดจำนวนวันกักตัวเหลือเพียง 3 วัน และกักตัวที่บ้าน โดยจะเริ่มต้นวันที่ 3 ม.ค. และ 3. ความเสี่ยงที่จะเกิด Recession สะท้อนลงไปในราคาสินทรัพย์ทั่วโลกแล้วในระดับหนึ่ง
.
ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์สำหรับการเก็งกำไรในธีม January Effect จึงเป็นการเน้นเข้าลงทุนในหุ้น กลุ่ม Domestic Plays ได้แก่ 1. กลุ่มธนาคาร ที่คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/65 ว่าจะโตจากไตรมาส 4/64 และไตรมาส 3/65 ได้แก่ KBANK, BBL, TISCO
.
2. กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ คาดหุ้นที่สอดคล้องกับการท่องเที่ยวและการเดินทางจะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาเดินทางอีกครั้ง ได้แก่ AOT, BEM
.
และ 3. เก็งกำไรบนผล ประกอบการของหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ ที่คาดว่าจะเติบโตจากไตรมาส 4/64 และไตรมาส 3/65 ได้แก่ SC, ORI