TMB

กว่ากึ่งศตวรรษแห่ง
ความแข็งแกร่ง
ก่อตั้งขึ้นด้วยความคิดริเริ่มของ ฯพณฯ พลเอก สฤษดิ์ ธนะรัตน์ และได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ตามพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2488 ธนาคารเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในปี 2500 ณ สำนักงานใหญ่ ถนนราชดำเนิน โดยมีประเภทบริการที่จำกัดและมุ่งให้บริการทางการเงินแก่หน่วยงานทหารและข้าราชการทหารเป็นหลัก หลังจากนั้นจึงได้พัฒนาและเติบโตขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งในปี 2506 ธนาคารจึงได้เปิดสาขาแห่งแรกคือ สาขาราชประสงค์
สู่ความเป็นธนาคารพาณิชย์
ที่ยิ่งสมบูรณ์พร้อม
ในปี 2521 ธนาคารได้ย้ายสำนักงานใหญ่จากอาคาร 2 ถนนราชดำเนิน มาสู่อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บริเวณมุมถนนพญาไทตัดกับถนนศรีอยุธยา และปี 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานตราตั้งให้ธนาคารทหารไทย จำกัด เป็นธนาคารพาณิชย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นครั้งแรกจาก 10 ล้านบาทเป็น 100 ล้านบาท ธนาคารได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการพัฒนาระบบงาน ซึ่งสามารถให้บริการรับฝากถอนเงินต่างสาขาระหว่างสำนักงานใหญ่และสาขาในกรุงเทพฯ ได้เป็นครั้แรกในปี 2526 และพัฒนาระบบเงินฝากให้เป็นระบบคอมพิวเตอร์เต็มรูปแบบในปี 2528
ธนาคารได้ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่ถนนพหลโยธิน ที่พร้อมมูลด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก สามารถให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและครบถ้วน ต่อมาในปี 2537 ธนาคารได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ตามพระราชบัญญัติ บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535
ธนาคารได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO 9002 จากสถาบัน UKAS และจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีนโยบายให้บริษัทจดทะเบียนมีการจัดองค์กรที่ดี (Corporate Good Govermance) ธนาคารจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้น ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของผู้บริหารเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ฝากเงินและลูกค้า และจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ธนาคารได้ปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสม เพื่อรองรับกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตและกฎระเบียบที่เข้มงวด โดยจัดตั้งฝ่ายพัฒนาธุรกิจสินเชื่อและฝ่ายสอบทานสินเชื่อ เพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งบริษัท จัดการอสังหาริมทรัพย์ทหารไทย จำกัด
ธนาคารได้พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ในการปฎิบัติงานอย่างต่อเนื่อง และนำระบบงาน Core Banking มาทดลองใช้ใน 10 สาขา รวมทั้งปรับปรุงเครือข่ายสาขาให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจ และส่งเสริมการแข่งขัน โดยเปิดสาขาย่อยขนาดเล็กในรูปแบบ KIOSK และขยายเวลาการบริการให้สอดคล้องกับพื้นที่ และได้ปรับโครงสร้างทางด้านบุคลากรให้สอดคล้องกับโครงสร้างองค์กรใหม่

ธนาคารได้รวมกิจการกับธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งการรวมกิจการดังกล่าวส่งผลให้เป็นธนาคารใหม่ที่สมบูรณ์แบบ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2547 โดยมีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 7 แสนล้านบาท เป็นอันดับ 5 ของระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งการมีบริษัทประกันฯ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในเครือ ทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างครบวงจร หรือ Universal Banking ได้เป็นอย่างดี

ธนาคารได้ออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 25,000 ล้านหุ้นแก่ ING Bank N.V. ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน 1 ใน 20 ของสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ 1 ใน 10 อันดับแรกของสถาบันการเงินที่ใหญ่ในยุโรป รวมทั้งกระทรวงการคลังและกลุ่มบุคคลเฉพาะเจาะจงในประเทศ โดยหุ้นสามัญที่เหลือจากการจัดสรรเสนอขายแก่สถาบันการเงินและกองทุนในต่างประเทศ ธนาคารประสบความสำเร็จในการขายหุ้นเพิ่มทุนเป็นอย่างดียิ่ง โดยมีมูลค่าการขายหุ้นเพิ่มทุนที่เพิ่มในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 37,622 ล้านบาท ทำให้ธนาคารมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ระดับความเพียงพอของเงินกองทุนของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 14.4% ณ สิ้นปี 2550

ข่าวเก่า
คลังหนักอกเพิ่มทุนรวม 2 แบงก์ ชี้ราคาหุ้น TCAP วิ่งแรงกดดันสวอปหุ้น
คลังคิดหนักดีลควบรวม “TMB-ธนชาต” ชี้ต้องใส่เงินเพิ่มทุนสูงสุดถึง 1.3 หมื่นล้านบาท กรณีรักษาสัดส่วนถือหุ้นกว่า 25% จับตาโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โบรกฯ ASP ชี้ 7 ข้อหลังควบรวมภาพแบงก์ใหม่ ส่องหุ้นธนชาตยิ่งใกล้ปิดดีล ราคาหุ้นยิ่งพุ่งขึ้นถึง 7% แรงกว่า TMB ที่ราคาหุ้นอืด
แหล่งข่าวจากธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คณะกรรมการ TMB จะประชุม 13 ก.พ.นี้ มีวาระสำคัญ คือการควบรวมกิจการระหว่าง TMB กับธนาคารธนชาต(TBANK) เนื่องจากต้องเร่งปิดดีลให้ได้ในรัฐบาลนี้ ซึ่งล่าสุดได้ให้ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) วิเคราะห์แต่ละออปชั่นการควบรวมกิจการแล้ว และเมื่อเสนอให้บอร์ด TMB พิจารณาเห็นชอบแล้ว หลังจากนั้นจะให้ทุกฝ่ายแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
“มีหลายออปชั่นมาก แต่แนวทางก็คือ หลังการควบรวม กลุ่มไอเอ็นจีจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ทางธนชาตหรือสโกเทีย ก็อาจจะอยู่อันดับ 2 และกระทรวงการคลังก็น่าจะอยู่ลำดับ 3 โดยต้องขึ้นกับคลังจะใส่เงินเพิ่มทุนหรือไม่ ซึ่งก็มีทั้งออปชั่นว่าต้องใส่เงินตั้งแต่ 7-8 พันล้านบาท หรือใส่ 1 หมื่นล้านบาท และสูงสุดต้องใส่เงินถึง 1.3 หมื่นล้านบาท หากต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ราว 25% เท่าเดิม” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ดีลนี้โจทย์ที่ยากขึ้นอยู่กับทางกระทรวงการคลัง เพราะต้องใช้เงินเพิ่มทุนจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังมีต้นทุนเก่าที่สูง โดยต้องนำราคาหุ้นที่ต้นทุนอยู่ที่ 3.80 บาท มาคำนวณรวมกับค่าเสียโอกาสต่าง ๆ โดยหักเงินปันผลที่ได้รับในช่วงที่ผ่านมาออกไป
“ทางกระทรวงการคลังต้องรอบคอบ เพราะมีราคาหุ้นที่สูงค้ำคออยู่ ดังนั้นต้องดูว่า เมื่อควบรวมแล้วจะเกิดมูลค่ามากขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาพอมีกระแสข่าวควบรวมกิจการ ค่อนข้าง
มีผลกระทบต่อราคาหุ้น บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ TBANK เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากดังนั้น ราคาหุ้นที่จะสวอปกันก็ต้องไม่เอาราคาที่เปลี่ยนแปลงช่วงนี้มาคิด” แหล่งข่าวกล่าว
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น TMB จะต้องพิจารณาว่า เมื่อมีการควบรวมแล้ว จะได้ประโยชน์มากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร ส่วนจะใส่เงินเพิ่มทุนหรือไม่ ขึ้นกับว่าใส่เงินเพิ่มทุนแล้วเกิดประโยชน์มากกว่าการไม่เพิ่มทุน ประกอบกับการถือหุ้นใน TMB สำหรับกระทรวงการคลัง เป็นการถือเพื่อลงทุนที่ต้องการผลกำไร ไม่ได้ต้องการอำนาจการบริหารงาน
“คลังต้องดูในฐานะผู้ถือหุ้น โดยเงินที่เราลงไปในหุ้นต้องตอบได้ว่า ถ้าทำอะไร ด้วยวิธีการอะไรแล้ว ผลตอบแทนเราต้องไม่แย่ หรือดีขึ้น” นายอภิศักดิ์กล่าว
นายพบชัย ภัทราวิชญ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หากดีลควบรวม 2 แบงก์นี้สำเร็จ จะส่งผลบวกต่อ 1.ลดภาระต้นทุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี 2.สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นมาที่ 1.9 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ สิ้นปีཹ) ซึ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยังอยู่อันดับ 6 3.สินเชื่อมีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจาก TBANK มีพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ค่อนข้างสูง ในขณะที่พอร์ตสินเชื่อของ TMB อยู่ในสินเชื่อบ้าน 4.ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของ TMB จะดีขึ้น ในขณะที่ NIM ของ TBANK ลดลง 5.อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของ TMB จะดีขึ้น ในขณะที่ TCAP ลดลงเช่นกัน 6.สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หลังควบรวมอยู่ที่ 2.55%ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 3.2% และ 7.อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (coverageratio) หลังควบรวมอยู่ที่ 143% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 148.8%
“การควบรวมของทั้ง 2 ธนาคาร TMBเป็นฝ่ายที่จะได้รับประโยชน์ในแง่ที่ NIMและ ROE มีภาพรวมดีขึ้น ในขณะที่ TCAPมีภาพรวมที่แย่ลงหลังควบรวม อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ด้านอื่น ๆ ไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” นายพบชัยกล่าวสรุป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นของ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ซึ่งถือหุ้นใหญ่ในธนาคารธนชาต (TBANK) ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นสูงกว่าหุ้น TMB โดยราคาหุ้น TCAP ปรับขึ้นราว 7.4% จากวันที่ 2 ม.ค. ปิดที่ 50.50 บาท วิ่งขึ้นมา 54.25 บาท ณ 7 ก.พ. ขณะที่ราคาหุ้น TMB ขยับขึ้นราว 2.7% จากที่ปิดตลาดต้นปี 2.20 บาท ปรับขึ้นมา 2.26 บาท ปิด ณ 7 ก.พ. 62

ทริสเรทติ้งประกาศเครดิตพินิจ “Negative” อันดับเครดิตองค์กร “บ. หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน)”
ข่าวหุ้น-การเงิน ทริส เรตติ้ง -- พฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 19:45:03 น.
ทริสเรทติ้งประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ “A+” โดยเป็นผลสืบเนื่องจากการลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ING Groep N.V. (ING) และ The Bank of Nova Scotia (BNS) เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อดำเนินการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต
ทริสเรทติ้งยังคงเห็นความไม่แน่นอนของธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก่อนหน้านี้ เนื่องจากการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) ของทั้ง 2 ธนาคารจะใช้เวลาอีก 2-3 เดือน และยังต้องผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องซึ่งประกอบไปด้วยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 ธนาคาร ซึ่งหากธุรกรรมดังกล่าวได้รับความเห็นชอบ กระบวนการรวมกิจการคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2562 นี้
อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากการประกาศเครดิตพินิจในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม โดยวิธีการจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้ง จึงได้ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ต่ออันดับเครดิตของบริษัท โดยอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงจากในระดับปัจจุบัน เนื่องจากอันดับเครดิตของบริษัทอาจจะไม่ได้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงกับธนาคารธนชาต ซึ่งปัจจุบันเป็นธนาคารแม่ที่ถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทเมื่อมีการรวมธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทยเป็นธนาคารใหม่ และ/หรือ บริษัทกลายเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัท ทุนธนชาต ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการทางการเงินและสถานะของบริษัทเอง และ/หรือ ความสัมพันธ์กับบริษัททุนธนชาต
ทริสเรทติ้งคาดว่าจะสามารถทบทวนเครดิตพินิจของบริษัทได้หากธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้นหรือมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำการวิเคราะห์ในเชิงลึกและสามารถให้ข้อสรุปต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้
รายละเอียดธุรกรรม
จากแผนของธุรกรรมที่ประกาศสู่สาธารณชน การรวมกิจการจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารธนชาตเท่านั้น โดยธนาคารธนชาตจะต้องขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยส่วนใหญ่และเงินลงทุนอื่นๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารในปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหุ้น (บริษัททุนธนชาต 51% และ BNS 49%) การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตซึ่งปัจจุบันมีธนาคารธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด 100% โดยจะต้องมีการขายเงินลงทุนของบริษัทไปพร้อมกับบริษัทย่อยอื่น ๆ ของธนาคารธนชาตด้วย ได้แก่ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (65%) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) (100%) และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด (100%) ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคาดว่าบริษัททุนธนชาตจะกลายมาเป็นบริษัทแม่ของบริษัทแทนหากธุรกรรมดังกล่าวสำเร็จตามแผน
ในการนี้ ธนาคารทหารไทยคาดว่าการรวมกิจการจะต้องใช้เงินลงทุนมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 130,000-140,000 ล้านบาทโดยจะมาจากการออกหุ้นเพิ่มทุนในสัดส่วน 70% และจากการกู้ยืมอีก 30% (ส่วนหนึ่งอาจมาจากสภาพคล่องส่วนเกินของธนาคารทหารไทย) ในส่วนของการออกหุ้นเพิ่มทุนนั้นจะประกอบไปด้วย 1) การออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคารทหารไทย (ประมาณ 40,000-45,000 ล้านบาท) และ 2) การออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บริษัททุนธนชาตและ BNS โดยคิดมูลค่าหุ้นเท่ากับ 1.1 เท่าของมูลค่าทางบัญชีล่าสุดของธนาคารทหารไทย (ประมาณ 50,000-55,000 ล้านบาท)
หากการรวมกิจการสำเร็จก็คาดว่า ING และบริษัททุนธนชาตจะถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่า 20% ในธนาคารใหม่ที่จะเกิดจากการรวมกิจการ ในขณะที่กระทรวงการคลังน่าจะถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่า 20% ส่วน BNS นั้นก็คาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในธนาคารใหม่ และบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตก็จะกลายมาเป็นบริษัทย่อยของบริษัททุนธนชาต
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตบริษัทหลักทรัพย์, 21 ธันวาคม 2560
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) (TNS)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
แนวโน้มเครดิตพินิจ: Negative
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

ทีเอ็มบีรายงานกำไรสุทธิปี 2561 ที่ 11,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน พร้อมเพิ่มอัตราส่วนสำรองฯ ต่อ NPL มาอยู่ที่ 152% เพื่อเตรียมรับ IFRS 9 และสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ สำหรับปี 2562 ธนาคารตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ Get MORE with TMB
ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย แจ้งผลประกอบการปี 2561 ซึ่งยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ 30,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.7% หนุนโดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการรับรู้กำไรจากดีลอีสท์สปริง ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง โดยยังคงดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด ทั้งยังเตรียมความพร้อมรับ IFRS 9 ด้วยการตั้งสำรองฯ เพิ่มจากระดับปกติเป็นจำนวน 7,000 ล้านบาท ในปี 2561 ธนาคารดำเนินการตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้น 16,100 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนสำรองฯ ต่อ NPL (Coverage Ratio) ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรองรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 152% จาก 143% ในปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 2.76% โดยหลังหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิที่ 11,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.6% จากปีที่แล้ว
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี กล่าวว่า “ปี 2561 ที่ผ่านมา นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของวงการธนาคารไทย นับตั้งแต่การยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมในช่องทางดิจิทัล ไปจนถึงการพัฒนาการให้บริการใหม่ๆ บน Digital Banking ของธนาคารต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้า สำหรับทีเอ็มบี เรายกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมมาตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว และทุกวันนี้ ทีเอ็มบีก้าวผ่านเรื่องของค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมไปสู่การมอบสิทธิประโยชน์กลับคืนให้กับลูกค้าภายใต้แนวคิด Get MORE with TMB
“จากแนวคิดดังกล่าวและการพัฒนาการให้บริการในทุกๆ ช่องทางเพื่อยกระดับ Customer Experience และรองรับรูปแบบการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลของลูกค้า ทำให้ในปี 2561 ทีเอ็มบีสามารถขยายฐานลูกค้า Retail Active Customer เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.6 ล้านคน จากปีก่อนหน้าที่ 2.5 ล้านคน และมีสัดส่วนลูกค้าดิจิทัล (Digital Active Customers) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 48% จาก 35% ในปีที่แล้ว และขยายฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นได้ 6.2% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 6.50 แสนล้านบาท โดยเงินฝากซึ่งเป็น Flagship product ล้วนเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นำโดย TMB No Fixed (+14%) และ TMB All Free (+4%) บัญชีคู่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายย่อยทั้งเรื่องการออมและการทำธุรกรรม ตามมาด้วยเงินฝากเพื่อการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าธุรกิจ TMB One Bank (+15%) ขณะที่เงินฝากดิจิทัล ME SAVE โดย ME by TMB ก็ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องเช่นกัน (+12%) ซึ่งในปี 2561 ME by TMB ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Digital Bank ด้วยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในขั้นตอนการแสดงพิสูจน์ตัวตน หรือ E-KYC เพื่อให้บริการเปิดบัญชีเงินฝาก ME SAVE ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ME SURE ถือเป็นธนาคารแรกที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อประกันชีวิตได้เองผ่านโมบายแอปพลิเคชัน”
ในส่วนของสินเชื่อนั้น ธนาคารเน้นการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อให้การโตของพอร์ตเป็นไปอย่างมีคุณภาพ โดยสามารถขยายสินเชื่อได้ที่ 6.6% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 6.86 แสนล้านบาท นำโดยสินเชื่อรายย่อย (+18%) โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (+20%) ซึ่งธนาคารได้เน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำสอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย สำหรับสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน นำโดยลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ (+7%) โดยเฉพาะจากสินเชื่อ Trade Finance (+18%) ขณะที่สินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเติบโตได้ที่ 1.7% จากปีก่อนหน้า
และเนื่องจากสินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กยังค่อยๆ ฟื้นตัว ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจึงชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยอยู่ที่ 2.94% จาก 3.13% ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือ 1.0% มาอยู่ที่ 24,497 ล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 85.3% มาอยู่ที่ 23,545 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้จากการบันทึกกำไร 1.2 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้นในบลจ.ทหารไทย จำนวน 65% ในไตรมาส 3 ปี 2561 เพื่อเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับอีสท์สปริง อินเวสต์เมนทส์ (สิงคโปร์) โดยมีจุดประสงค์เพื่อยกระดับการให้บริการด้านกองทุนรวม หรือ ‘TMB Open Architecture’ ทำให้ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 48,042 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 17,475 ล้านบาท ลดลง 1.8% กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองฯ ทั้งสิ้นจึงอยู่ที่ 30,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.7%
และจาก PPOP ที่เพิ่มขึ้น ธนาคารจึงเตรียมความพร้อมรองรับ IFRS 9 และการปรับลดชั้นสินเชื่ออย่างรอบคอบด้วยการตั้งสำรองฯ เพิ่มจากระดับปกติเป็นจำนวน 7,000 ล้านบาท โดยรวมทั้งปี ธนาคารดำเนินการตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้นจำนวน 16,100 ล้านบาท เทียบกับ 8,915 ล้านบาทในปีที่แล้ว โดยหลังจากหักสำรอง และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 11,601 ล้านบาท เติบโต 33.6%
นายปิติ กล่าวเสริมว่า “การตั้งสำรองฯ ที่สูงขึ้นในปี 2561 ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล เพราะเป็นผลจากการที่ธนาคารเน้นการบริหารจัดการอย่างรอบคอบและการเตรียมรับ IFRS 9 ไม่ได้มีสาเหตุจากคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลง แท้จริงแล้วคุณภาพสินทรัพย์ค่อนข้างทรงตัวและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจากสำรองฯ ที่สูงขึ้นและสัดส่วนหนี้เสียที่อยู่ที่ 2.76% ทำให้อัตราส่วนสำรองฯ ต่อหนี้เสียเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 152% จาก 143% ในปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่ดีขึ้น ขณะที่ความเพียงพอของเงินกองทุน CAR และ Tier I อยู่ที่ 17.5% และ 13.6% เป็นไปตามเกณฑ์ Basel III และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 10.375% และ 7.875% ตามลำดับ ถือเป็นการสร้างฐานเพื่อก้าวสู่ปี 2562 อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งธนาคารก็ยังคงตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้าต่อด้วยกลยุทธ์ Get MORE with TMB”

TMB
ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบแก่ลูกค้า 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ลูกค้าเอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย โดยมีกลุ่ม ไอเอ็นจี สถาบันการเงินของประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ร่วมกับกระทรวงการคลัง
BOOK 2.25
IPO 200
PAR 0.95
กำไรรอบปี 0.2646 บ. / หุ้น
ราคา 2.04 ถูกกว่ามูลค่าจริง 9%

อีก 2-3 เดือน หรือเป็นปี การควบรวมจึงจะคืบหน้า
ควบไม่ควบไม่รู้ รัฐบาลทั้งใหม่เก่า ไม่แน่นอนทั้งนั้น