เช็คอนาคตของ MINT หลังเพิ่มทุนจะเป็นอย่างไร?
COVID-19 คือบทเรียนครั้งสำคัญของ MINT เพราะวิกฤติครั้งนี้ทำให้ MINT เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แม้ก่อนหน้านี้หลายๆฝ่ายประเมินว่า จุดเด่นของ MINT คือการมีโรงแรมที่กระจายอยู่ทั่วโลก แต่ปัจจุบันผ่านไปไม่นาน กลับกลายเป็นจุดด้อย ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มากที่สุด
วิกฤติครั้งนี้ทำให้ MINT ต้องใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ให้สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ จนต้องมีแผนระดมทุนสูงถึง 25,000 ล้านบาท หวังช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และความสามารถในการเติบโตของบริษัท
ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 มิ.ย.63) ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 มีมติอนุมัติแผนระดมทุนมูลค่า 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การเพิ่มทุนโดยจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน มูลค่า 10,000 ล้านบาท ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีกำหนดไถ่ถอน (Perpetual bond) มูลค่า 10,000 ล้านบาท และการแปลงสิทธิใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 7 (MINT-W7) มูลค่า 5,000 ล้านบาท
โดย การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ RO กำหนดราคาขายก่อนวันที่ 29 มิถุนายน 2563 บริษัทคาดว่าจะได้เงินระดมทุน มูลค่า 10,000 ล้านบาท และคาดว่าจะได้รับเงินภายในไตรมาส 3/63 ส่วนการออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่มีกำหนดไถ่ถอน มูลค่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะเสนอขายภายในไตรมาส 3/63
ขณะที่การระดมทุนอีก 5,000 ล้านบาท จากการแปลงสิทธิ MINT-W7 มีอายุ 3 ปี นับจากวันที่ออก (ปี 2563-2566) ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 17 หุ้นสามัญ ต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) 1 หน่วย คาดว่าจะออกในช่วงไตรมาส 3/2563 เช่นกัน
“เราคาด MINT จะเพิ่มทุนทั้ง RO และ Perpetual bond สำเร็จจาก Track Record ที่ดีในอดีต ภาพหลังการเพิ่มทุน MINT จะได้เงินสดอย่างน้อย 2.2 หมื่นล้านบาท (ไม่รวม Warrant) ระดับดังกล่าวมากเพียงพอจะผ่าน COVID-19 ไปได้แม้เกิด Second Wave จาก Cash burn กรณีเลวร้ายที่สุดต้องปิดโรงแรมทั้งหมดในเดือนเม.ย.63 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาทต่อเดือน แม้เราสมมติให้ MINT ขาดทุน 1 หมื่นล้านบาทในปี 2563 Net debt to Equity ก็ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 1.35 เท่าใกล้เคียงฐานปี 2562 ... หมดทุกความกังวลสภาพคล่อง” บางช่วงบางตอนจากมุมมองของ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
พร้อมยังระบุว่าอีกว่า MINT ใช้หนี้ในระดับสูงเพื่อเติบโตก้าวกระโดดผ่าน M&A อย่างไรก็ดีเมื่อเกิดสถานการณ์ผิดคาด เช่น COVID-19 EBITDA จากการดำเนินงานปกติถูกกระทบทำให้เกิดความเสี่ยงสภาพคล่อง โดยความเสี่ยงสภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดมองข้ามความสามารถในการแข่งขันและ Scale ที่เหนือกว่า คู่แข่งของ MINT เนื่องจากตลาดกลัวความเสี่ยงการเพิ่มทุน
อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุด MINT จ่ายราคาให้กับการเติบโตที่เร่งรีบเกินไปในช่วง 2 ปีหลัง โดยประกาศเพิ่มทุนในช่วงปีที่ราคาหุ้นอยู่ใน Zone ต่ำมาก แลกกับการรักษาวินัยทางการเงินให้ Debt Covenant อยู่ภายใต้ Internal Target ที่ 1.3 เท่า โดยการออก Perpetual Bonds มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท และเพิ่มทุนผ่าน RO (จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม) จัดสรรไม่เกิน 716 ล้านหุ้น บนอัตราส่วน 6.45:1 ขึ้น XR วันที่ 26 มิ.ย.63 เราคาดได้เงินอย่างน้อย 1.2 หมื่นล้านบาท และแจก MINT-W7 จำนวนไม่เกิน 313.8 ล้านหน่วย คาดได้เงินอย่างน้อย 5 พันล้านบาท แม้มีผลต่อ EPS Dilution 18% แต่สุดท้าย MINT จะได้เงินสดกลับมาอย่างน้อย 2.5-2.8 หมื่นล้านบาท เมื่อบวกกับฐาน Equity ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถกู้เพิ่มได้มากขึ้น ทำให้บริษัทมีโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอผ่านวิกฤต COVID-19 ไปได้ไม่ยาก
แก้ปัญหาได้ตรงจุด...
ปัจจัยที่ให้น้ำหนักที่สุดเมื่อบริษัทประสบภาวะวิกฤติจากปัจจัยภายนอก คือความสามารถของผู้บริหารที่ต้องกล้าตัดสินใจ ฉับไว และทันต่อสถานการณ์ ซึ่ง MINT แสดงให้เห็นชัดในช่วงที่ผ่านมา ดังนี้
1. MINT ตัดสินใจประกาศปิดโรงแรมเป็นรายแรกเนื่องจากการปิดส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินงานน้อยกว่าการเปิดให้บริการ 2.MINT ประกาศ Leave without pay policy ต่อพนักงานเต็มใจลา รวมถึงลดพนักงานถึง 60% และเริ่ม freeze headcount ในช่วง COVID-19 และ 3.ผู้บริหารตัดสินใจเพิ่มทุนอย่างรวดเร็ว แม้จะได้ราคาอาจต่ำผิดปกติ เพื่อปกป้อง Balance Sheet และกระแสเงินสดของบริษัทฯ
ดังนั้นเชื่อว่า MINT อยู่ในมือของ Management ที่เข้าใจอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี และตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงกล้าที่จะตัดสินใจเพื่อความอยู่รอดของกิจการ ความสามารถของผู้บริหารแม้ยังไม่สะท้อนออกมาเป็นกำไรในช่วงปี COVID-19 แต่เชื่อว่าจะสะท้อนออกมาในช่วงที่อุตสาหกรรมฟื้นตัว ทำให้ MINT ฟื้นตัวเด่นกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน
นักวิเคราะห์ระบุว่าอีกว่า หากบริษัทผ่านพ้น COVID-19 ไปได้ คาดว่าจะได้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ดังนี้ 1.องค์กรของ MINT จะ Lean ยิ่งขึ้น การเข้ามาของ COVID-19 ทำให้ได้โอกาสลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะสะท้อนเป็นศักยภาพการทำกำไรที่สูงขึ้
2.การลงทุนของกิจการจะระมัดระวังมากขึ้น และจะไม่เกิดปัญหา Leverage เกินตัวอีก โดยเชื่อว่าการต้องเพิ่มทุนในปีที่ผลประกอบการแย่ที่สุดในรอบ 22 ปี เป็นบทลงโทษสำคัญที่ทำให้ผู้บริหารจะระมัดระวังยิ่งขึ้นในด้านการเติบโตในอนาคต เป็นบวกต่อผู้ถือหุ้น และ 3.ปัจจัยที่สำคัญที่สุดได้แก่ คู่แข่งจะล้มหายไปจำนวนมาก และการเกิดของ Supply ใหม่ ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เป็นบวกต่อการเติบโตในระยะถัดไป
ผลงาน... รอเวลากลับไปเฉิดฉายอีกครั้ง
การฟื้นตัวของกำไร แม้ MINT ได้เริ่มกลับมาทยอยเปิดโรงแรมในกลุ่มในปลายเดือนมิ.ย.63 ถึงต้นไตรมาส 3/63 ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดแล้วตามการเปิดห้างในไทย อย่างไรก็ดี หาก COVID-19 กลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้งภาพการฟื้นตัวอาจช้าลงไปอีก ขณะที่หากการค้นพบวัคซีนเกิดขึ้นได้เร็วอาจเห็นภาพการฟื้นตัวเร็วกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ดีกำไรปกติของ MINT ในช่วง COVID-19 อาจไม่ได้เป็นตัวเปรียบเทียบที่เหมาะสมในการสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของบริษัทฯในระยะยาว
ในระยะยาวเชื่อว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะฟื้นตัวทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง อิงสมมติฐานสำคัญ ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวเป็นพนฐานความต้องการของมนุษย์ หากดูจากโรคระบาดในอดีต สุดท้ายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกสามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้งได้
2.ผู้เล่นที่มี brand แข็งแกร่ง และสามารถประคองตัวผ่านช่วงวิกฤต มีโอกาสกลับมาได้ก่อนผู้เล่นขนาดกลางและขนาดเล็ก 3.รัฐบาลไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นถึง 13% ของ GDP เช่นเดียวกับรัฐบาลสเปน หรือรัฐบาลอื่นๆ ในยุโรป หากอยากฟื้นภาพรวมของเศรษฐกิจ
4.การลงทุนด้านยารักษาจากทั่วโลกทำให้คาดจะมีวัคซีนออกมาเร็วกว่าปกติ เนื่องจากผู้ชนะการคิดค้นยารักษาจะได้รับผลตอบแทนมหาศาลและได้เปรียบในทางเศรษฐกิจ 5.อุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับบน (Luxury or Upper-scale segment) ซึ่ง MINT มี exposure ยากที่จะโดน Tech disruption ไม่เหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวยังต้องการงานบริการที่เป็น Interaction กับคน แม้ในยุค IoT หรือ Machine เรามองว่าการผ่อนคลายก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์
ผลงานฟื้นตัวใน 2 ปี
กรณีฐาน คาดปี 63 MINT จะขาดทุนปกติที่ 1 หมื่นล้านบาท แย่ที่สุดในรอบ 15 ปี แต่จะเริ่มกลับไปฟื้นตัวในปี 2564 ที่ 2.6 พันล้านบาท และ 5.1 พันล้านบาท (+92% YoY) หรือราว 68% ของระดับปกติในปี 2562 ก่อนเกิด COVID-19 โดยคาด EBITDA ปี 63 ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท (-18% YoY) ปี 64 ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท (+104% YoY) และปี 65 ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท (+13% YoY)
ประเมินมูลค่า MINT ณ สิ้นปี 2563 ที่ 28.25 บาทต่อหุ้น ด้วยการประเมินมูลค่าเหมาะสมของ MINT ในปี 2564 หรือเป็นปีแรกที่ผลประกอบการฟื้นตัวแต่ยังไม่เต็มศักยภาพ อิง EV/EBITDA ที่ค่าเฉลี่ยในอดีตหลังปรับลดผลของมาตราฐานบัญชีที่ทำให้ D&A สูงผิดปกติแล้ว ที่ 31.89 บาทต่อหุ้น แล้ว Discount กลับมาด้วย Ke ที่ 13%
ราคาเหมาะสมดังกล่าวยังสะท้อนเพียงการฟื้นตัวของกำไรบางส่วน และไม่ได้สะท้อนศักยภาพการทำกำไรที่แท้จริงของ MINT ภายใต้ภาวะปกติที่เราคาดจะเห็นตั้งแต่ปี 65 หรือ 66 เป็นต้นไป เมื่อโลกผ่านพ้น COVID-19 และเข้าสู่สมดุลปกติ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก