COM7-SYNEX จะเติบโตขนาดไหน เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าแบบไม่สิ้นสุด
เข้าสู่ช่วงประกาศงบไตรมาส 4/63 และทั้งปี 2563 กันแล้ว ซึ่งในช่วงที่เทคโนโลยีขาขึ้นแบบนี้ เรามาดูว่า 2 หุ้นน่าจับตาอย่าง COM7 และ SYNEX ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเรื่อองดังกล่าว จะมีความน่าสนใจสักแค่ไหน วันนี้ทีมข่าว Wealthy Thai จำพานักลงทุนมาหาคำตอบพร้อมๆกันว่าแนวโน้มผลประกอบการปี 63 และปี 64 จะออกมาในทิศทางไหนกันแน่
โดย COM7 เป็นผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าไอที ประเภทคอมพิวเตอร์แล็บท็อป คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ โทรศัพท์เคลื่อนที่ แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทางการจำหน่ายหลัก รวมทั้งให้บริการศูนย์ซ่อมสินค้าแบรนด์ Apple.
ขณะที่ SYNEX เป็นผู้จัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ ซอฟท์แวร์ ระบบสารสนเทศ และวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ โดยบริษัทฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตชั้นนำระดับโลก และมีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นร้านค้าปลีกและค้าส่งทั่วประเทศ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตัวเอง รวมถึงห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ และร้านอุปกรณ์ เครื่องเขียน
ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปดูผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทในงวด 9 เดือนของปี 2563 ถือว่ายังมีกำไรสุทธิเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้มีวิกฤติ COVID-19 สะท้อนจากความต้องการของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังมีจำนวนมาก โดย COM7 ในงวด 9 เดือนของปี 2563 มีกำไรสุทธิ 934 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 831 ล้านบาท ขณะที่ SYNEX ก็เช่นเดียวกัน มีกำไรสุทธิในงวดดังกล่าวที่ 468 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 396 ล้านบาท
“มีประเด็นสำคัญ คือ 1.Phone 12 มีภาพรวมด้านอุปสงค์ที่ดี แม้จะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ 2. คาดการณ์ว่า Apple จะอัปเกรดผลิตภัณฑ์ของตนมากขึ้น เพราะระบบ 5G และชิปเซ็ตรุ่นใหม่ยังไม่ได้ติดตั้งในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของบริษัท 3.คาดว่าตลาดมือถือจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 3-5% ในปี 2564 เพราะจะมีการเปิดตัวมือถือระบบ 5G มากขึ้นในปีนี้ 4. สภาวะขาดแคลนอุปทานด้าน IT จะปรับดีขึ้นในเร็วๆ นี้ และ 5.ราคา Bitcoins ยังปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะกระตุ้นให้อุปสงค์สำหรับชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC components) ปรับสูงขึ้น”นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าว
พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า เรายังคงมุมมองเชิง "บวก" ต่อกลุ่ม gadget เพราะเล็งเห็นภาพรวมเชิงบวกด้านกำไรทั้งในระยะสั้นและยาวของแต่ละบริษัท โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญคือ iPhone 12 การอัปเกรดผลิตภัณฑ์ของ Apple และการเปิดตัวมือถือระบบ 4G-5G ใหม่ๆ เราเลือก SYNEX เป็นหุ้นเด่น จากมูลค่าหุ้นที่ไม่แพงและภาพรวมการเติบโตของกำไปกติที่สูงกว่าคู่แข่ง
ทั้งนี้เราคาดว่า COM7 จะรายงานกำไรปกติแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 4/2563 ที่ 417 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11.9% จากไตรมาสก่อน และคาดว่า SYNEX จะรายงานกำไรปกติในไตรมาส 4/2563 ที่ 141 ล้านบาท โตขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 0.7% จากไตรมาสก่อน
โดยมองว่าการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จะได้อานิสงส์จากยอดขาย iPhone 12 iPad Air รุ่นใหม่ Apple Watch 6 ที่แข็งแกร่ง และอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากความประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ที่สูงขึ้น ขณะที่มองว่าการเติบโตจากไตรมาสก่อน มีแรงหนุนมาจากปัจจัยตามฤดูกาลในไตรมาส 4 ที่แบรนด์สมาร์ทโฟนมักจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เรื่อธงรุ่นใหม่ออกมา โดยเฉพาะ Apple
ดังนั้นจึงมองว่ากำไรสุทธิทั้งปี 2563 ของ COM7 จะอยู่ที่ระดับ 1,352 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 1,216.32 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิเติบโตมาอยู่ที่ 1,691 ล้านบาท ส่วนทางด้าน SYNEX เรามองว่าปี 2563 จะรายงานกำไรสุทธิ 621 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 523 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 คาดเติบโตมาอยู่ที่ 737 ล้านบาท
นอกจากนี้ คาดว่า Apple จะอัปเกรดผลิตภัณฑ์มากขึ้นในปี 2564 โดย iPhone 12 คืออุปกรณ์เดียวที่รองรับระบบ 5G ขณะที่มี MacBook บางรุ่นเท่านั้นที่มีชิ Apple M1 โดยชิปดังกล่าวนั้นจะมีความเร็วเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ PC รุ่นล่าสุด และใช้พลังงานน้อยกว่า 25% ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท gadget คาดว่า Apple จะอัปเกรดเทคโนโลยีใหม่ๆ กับผลิตภัณฑ์ที่เหลือตลอดทั้งปีนี้เช่น ติดตั้งระบบ 5G ใน iPads และชิป M1 ใน MacBook และ Mac รุ่นอื่นๆ ของบริษัท
รวมทั้งคาดถึงการเปิดตัวมือถือระบบ 5G มากขึ้น โดยมือถือระบบ 5G คิดเป็นสัดส่วนเพียง 17% ต่อมือถือที่วางขายในตลาดทั้งหมดในปี 2563 โดยคาดว่าจะแตะระดับ 60% ในปีนี้ ทำให้สถานะในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงต้นของการซื้อขายมือถือระบบ 5G จึงคาดว่าจะมีการเปิดตัวมือถือระบบ 5G มากขึ้น เช่น มือถือแบรนด์จากจีนและเกาหลี
COM7 ระยะยาวจะขยายตัวต่อเนื่อง
นักวิคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มรายได้จะขยายตัวต่อเนื่อง จาก 1. ช่องทางการจำหน่ายผ่านสาขาที่ยังเพิ่มขึ้นในระดับที่สูง โดยปี 2564 อยู่ที่ 70 สาขา (เทียบปี 62/63 ที่ +141/120 แห่ง) โดยประเมินว่าสาขาส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นจะขยายตัวผ่านสาขา BaNANA, Franchise และร้านค้า Brand shop เป็นหลัก ทำให้บริษัทจะมีรายได้กลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ค และสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าที่มี margin สูงกว่าสินค้า Apple และสอดคล้องกับรายงาน Gartner ที่คาดว่าสินค้ากลุ่ม Device ปี 2564 จะขยายตัว +12% จากปี 2563 ที่หดตัว -21%
นอกจากนี้เราประเมินว่ารายได้จากช่องทางออนไลน์จะอยู่ในระดับที่สูง และสามารถชดเชยจำนวนสาขาที่เปิดเพิ่มลดลงจากปีก่อน จากเวปไซต์รูปแบบใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงปี 2564 และความต้องการซื้อสินค้ากลุ่ม Work from home และ learn from home ผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์เพิ่มขึ้น ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ที่ระบาดในช่วงเดือน ธ.ค.-ม.ค.
และ 2. แนวโน้มรายได้ที่จะขยายตัวเนื่อง โดยประเมินว่ารายได้ปี 2564 จะขยายตัวที่ +15% จากปี 2563 จากการเพิ่มช่องทางการขายที่เพิ่มขึ้น, รับรู้รายได้จากการขาย iPhone 12 ที่เริ่มขายในประเทศไทยเดือน พ.ย. 2563 (ช้ากว่าปกติที่เริ่มขายในเดือน ต.ค.) ซึ่งมีความต้องการสินค้าสูง และรับรู้รายได้ต่อเนื่องใน ไตรมาส 1/64 รวมทั้งเราประเมินว่าสถานการณ์สินค้าไอทีที่ขาดตลาด จะกลับมาสู่ระดับปกติได้ในช่วงปลาย ไตรมาส 1/64
ทั้งนี้เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 1.27 พันล้านบาท (+5% YoY) และปี 2564 ที่ 1.53 พันล้านบาท (+20% YoY) โดยแนะนำ ซื้อ และราคาเป้าหมายที่ 48.00 บาท ซึ่งประเมินว่าผลการดำเนินงานในระยะยาวของบริษัทจะขยายตัวต่อเนื่องคิดเป็น 2563-66 EPS CAGR +18% หนุนโดยการที่บริษัทยังคงขยายสาขาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของลูกค้า และการเข้าสู่ยุค 5G ที่ทำให้ผู้คนซื้อสินค้า หรือ device ใหม่ๆตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 เพื่อรองรับเทคโนโลยี รวมทั้งการความต้องการใช้สินค้า IoT ที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน
SYNEX เจ้าแม่แห่ง Mega Trends
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เราคาดกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 650 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 524 ล้านบาท โดยเราคาดกำไรปกติ 620 ล้านบาท เติบโต +18.4% จากปี 2562 โดยเป็นผลมาจาก Product Mix และ NCAP
ทั้งนี้จาก 2 เหตุผล 1. กลุ่มสินค้ามาร์จิ้นสูงขายดีขึ้น เช่น กลุ่ม Computer Parts, Enterprise & cloud Services ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 4.3% จาก 3.8% ในปี 2562 และ 2 ส่วนแบ่งกำไรจาก NCAP ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง ถึงแม้จะถูกลดเปอร์เซ็นการถือครองลงจาก 40% เป็น 26.6% ในไตรมาส 4/63 จาก IPO คาดส่วนแบ่งกำไรปกติหักผลบวกจากการปรับ Revaluation ของมูลค่เงินลงทุน อยู่ที่ 67 ล้านบาทในปี 2563
ขณะที่เราคาดรายได้ทั้งปี 2563 อยู่ที่ 32,669 ล้านบาท ลดลง 6.1% จากปีก่อน เนื่องจากการลดลงของรายได้กลุ่ม Smart Phone เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้เยอะที่สุด โดยคาดจะลดลงจาก 36.6% ของรายได้รวมปี 2562 เหลือ 30.4% ในปี 2563
SYNEX หนทางในอนาคตชัดเจน รับประโยชน์จาก Mega Trends ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยประโยชน์จากเทรนด์ดังกล่าวต่อ SYNEX เช่น 1. 5G คือ การเปลี่ยน Smart Phone เพื่อรองรับสัญญาณ 5G (เร็วขึ้น ครอบคลุมขึ้น หน่วงน้อยลง) ซึ่งโทรศัพท์รุ่นเก่าไม่สามารถใช้ได้ ต้องเปลี่ยนเท่านั้น 2. Gaming คือ การเติบโตของสังคม Gamer ในไทย ส่งผลให้ยอดขายสินค้ากลุ่ม Computer Parts (DIY), Gaming Gears (ม้าส์, ดีย์บอร์ด, หูฟัง) เพิ่มขึ้น
3.Work From Home เร่งให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องจัดหาอุปกรณ์การทำงานคลื่อนให้กับพนักงาน รวมถึงระบบNetwork ที่ต้องมีทั้งความเสถียรและความปลอดภัย เป็นผลดีต่อยอดขายกลุ่มEnterprise 4. อุปกรณ์ Internet of Things ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Smart Home, Smart Health, Smart Watch ดีต่อยอดขายกลุ่ม IOT
ดังนั้นเรามีมุมมองบวกต่ปัจจัยพื้นฐานของ SYNEX ทั้งการเป็นผู้เล่นรายใหญ่มากในตลาดค้าส่งสินค้า IT ครบวงจร มี Competitive Edges เรื่องเครือข่ายลูกค้าที่ครอบคลุมและการบริหารจัดการ Inventory ที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการเป็น Sole Distributor ของแบรนด์ดัง ส่งผลให้รดาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3.5 เท่า จากจุดต่ำสุดของที่แล้ว เราประเมินกำไรปกติเติบโตเฉลี่ย 12.3% CAGR ในช่วงปี 2564-66 และประเมินราคาเป้หมายที่ 19 บาท แนะนำซื้อ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก