หุ้นไทยสุดถูก! เป็นโอกาสเก็บ
นักวิเคราะห์แนะนำเงินสดที่สำรองไว้
ทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตรอบใหม่

.
ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง รับ sentiment เชิงลบจากปัจจัยภายนอก โดยนักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส จำกัด รายงานว่า ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากว่า 90 จุด จากประเด็นความกังวลเรื่องการปิดธนาคารในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็น Sentiment ที่เข้ามากระทบ โดยไม่มีแรงกดดันในทางพื้นฐานทำให้ต้องมีการปรับลดประมาณการกำไรในอีกทางหนึ่ง น่าจะมีส่วนทำให้ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยในบ้านเรายากขึ้น
.
ทั้งนี้ภาพดังกล่าวทำให้เมื่อมองในมุม Valuation ของตลาดหุ้นไทยแล้วมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยที่ดัชนีปัจจุบันมีค่า Market Earning Yield Gap 4.52% และมีค่า PER ณ สิ้นปี 2566 ที่ 16.6 เท่า และเปิดอัพไซด์ เมื่อเทียบกับเป้าหมายSET Index ที่เราวางไว้ที่ 1610 จุด
.
ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ก.พ. ที่ประกาศออกมาอยู่ที่ 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เท่ากับ Consensus ช่วยลดแรงกดดันที่เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยล่าสุดเพดานปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ลงมาอยู่ที่บริเวณ 5%
.
ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ ให้นำเงินสดที่สำรองไว้กลับมาทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตรอบใหม่ โดยเชื่อว่า SET Index น่าจะมีโอกาส Rebound ประเมินกรอบ 1517 – 1550 จุดTop Pick เลือก AMATA, GPSC, JMT และ ORI โดยให้ลดระดับเงินสดลง
.
ด้านนักวิเคราะห์บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า SET อยู่ใน fear zone ด้วยการปรับตัวของ SET ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานอย่างมาก กำไรของตลาดในปี 65 แซงหน้ากำไรปี 62 ไปแล้วประมาณ 21% และดูเหมือนการการฟื้นหลังโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด จึงให้เป้าดัชนี SET ปี 66 ที่ 1,700 จุด
.
โดยมองว่าการขยับตัวของ SET ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเป็นโอกาสในการเข้า “ซื้อ” 1.การล้มของซิลิคอนวัลเลย์แบงก์แทบไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย และความไม่แน่ชัดของอัตราดอกเบี้ย Fed funds ก็มีผลกระทบที่จำกัดต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย 2.การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงเร่งตัวขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอ
.
3. เงินเฟ้อลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่าในหลายๆ ประเทศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นมากเกินไป และช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคน 4. ธนาคารกลาง งบดุล ทุนสำรองระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง และเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้ FDI มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่นบางประเทศซึ่งฐานะการเงินแย่ลงมากจากปัญหาโควิด และ 5. Valuation ของ SET ต่างจากระดับก่อนโควิดมาก แม้กำไรของตลาดในปี 2022 จะแซงหน้าปี 2019 แล้ว 21% และ ROE กลับสู่ระดับก่อนโควิดแล้วก็ตาม
.
ทั้งนี้คาดว่ากำไรของตลาดในปี 66 จะสูงกว่าของปี 62 ถึง 29% อย่างไรก็ตามการเติบโตจากปี 65 นั้นอยู่ในระดับต่ำที่ 5% ในปี 66 เนื่องจากกำไรของกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะลดลง 23% จากฐานที่สูงผิดปกติในปี 65 หากไม่รวมกลุ่มพลังงาน คาดว่ากำไรของตลาดจะเติบโต 24% ในปี 66 และอีก 21% ในปี 67 เมื่อการท่องเที่ยวกลับสู่ระดับปี 62 ด้วย ROE กลับสู่ระดับก่อนโควิดที่ 10.2% และอัตราผลตอบแทนปันผลที่ 3.3%
.
นอกจากนี้มองว่าตลาดไทยนั้นอยู่ใน fear zone ที่ 15.5 เท่า PE ซึ่งหลุดต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ 18.7 เท่าไปมาก อีกทั้ง Earnings-yield gap ยังอยู่ในโซนซื้อที่ 4.1% ถึงแม้เราปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปีลงมาที่ 1,700 (จาก 1,750) สะท้อนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 ที่อ่อนแอกว่าคาดจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็เป็นระดับที่สูงกว่าระดับดัชนีปัจจุบันเป็นอย่างมาก SET ที่ 1,700 คิดเป็น 17.3/15.2 เท่า PE ปี 66-67
.
ขณะเดียวกันได้พิจารณารอบการเติบโตเชิงโครงสร้างระยะยาว (structural growth) และรอบการเติบโตในช่วงสั้น 2-3 ปี (cyclical growth) ของกลุ่มอุตสาหกรรมในบทวิเคราะห์นี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เรามองว่าทั้งรอบ structural และ cyclical อยู่ในช่วงขาขึ้น ได้แก่ กลุ่มการท่องเที่ยว ค้าปลีก และโรงพยาบาล ขณะที่กลุ่มที่อยู่ในรอบ structural อ่อนๆ แต่มี cyclical ที่ค่อนข้างดีคือ นิคมอุตสาหกรรม ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์
.
ส่วนกลุ่มที่มีรอบ structural ที่ดี แต่รอบ cyclical ไม่ดีคือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค กลุ่มที่รอบ structural และ cyclical อ่อนแอทั้งคู่ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อบันเทิง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มอาหาร แต่กลุ่มวัสดุ กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มอาหาร มีเรื่องราวการฟื้นตัวของกำไรจากต้นทุนที่ลดลงมาช่วยในหุ้นบางตัว
.
สำหรับธีมการลงทุนเมื่อพิจารณาถึงภาพเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดี และวัฏจักรของกลุ่มธุรกิจ ได้ 4 ธีมการลงทุนสำหรับปีนี้ ได้แก่ การท่องเที่ยวและการบริโภค (AOT, CENTEL, CRC, CPN, CPALL), ราคาพลังงานที่ลดลง (SCC, KCE, TOA), ความเสี่ยงจากนโยบายของจีนที่ช่วยเพิ่มการลงทุนในไทย (AMATA, LH)
.
และหุ้นที่มีราคาถูก (SCC, KCE, CPALL) เราได้นำ TOP, BANPU และ PSL ออกจากพอร์ต เพื่อลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ และเหลือเพียง SCC เนื่องจากมูลค่าถูกด้วยธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงต่ำสุดและใกล้ฟื้นตัวเข้าสู่รอบการเติบโตใหม่ เราแทนที่ COM7 ด้วย CRC หลังฟื้นตัวมากกว่าคาด และเอาหุ้นสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคอย่าง SAWAD และ TIDLOR ออก และแทนที่หุ้นซึ่งอยู่ในธีมการลงทุนของเราข้างต้น