ห้องเม่าปีกเหล็ก

ตลาดหุ้นปีหน้า "ไม่ง่าย"

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
58 views

บทวิเคราะห์ของ Bloomberg เผยบทวิเคราะห์ภาพของการลงทุนในปีหน้า อาจจะเป็นอีกปีที่ทำให้การลงทุนมีความยากลำบากด้วย โดบเปิดเผบยสาเหตุที่ทำให้ภาพของเศรษฐกิจน่ากังวลมากที่สุด จากผู้จัดการกองทุน 106 คน ผลปรากฏว่า ...
- การลดขนาด QE ของธนาคารกลาง น่ากังวลมากถึง 38%
- เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและลากยาว น่ากังวลมากถึง 35%
- ไวรัส COVID-19 ที่ยังระบาดท และความตึงเครียดระหว่างอเมริกาและจีน น่ากังวลประมาณ 10% เท่าๆกัน
- เศรษฐกิจจีนที่จะลอตัว และการควบคุมของทางรัฐบาล น่ากังวลประมาณ 7%

บทวิเคราะห์ของ Bloomberg เผยให้เห็นว่า สหรัฐ ยุโรป และจีน มีแนวโน้มการเติบโตที่ช้าลง ในขณะที่ประเทศทางฝั่งเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและ Emerging Market มีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทางบทวิเคราะห์ยังเปิดเผยอีกว่า ในปีหน้าใช่ว่าจะมีแต่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะเกิดการพัฒนาในเชิงบวกมากขึ้น เช่น

- เงินเฟ้อสูงในช่วงระยะแรก และจะค่อยๆอ่อนตัวลงเมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลัง
- การแพร่ระบาดโควิดจะลดน้อยลง กลายเป็นโรคประจำถิ่น และประชากรจะเข้าถึงวัคซีนมากยิ่งขึ้น
- ความสัมพันธ์ของสหรัฐและจีน ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง

 

สอดคล้องกับมุมมองของ TISCO ESU วิเคราะห์ว่าในปีหน้าจะมี 3 ปัจจัยที่จะทำให้การลงทุนในหุ้นทั่วโลก และเศรษฐกิจทั่วโลกมีความน่ากังวล ประกอบไปด้วย

1. ไวรัส COVID–19 ยังคงระบาดต่อเนื่องและยืดเยื้อ
ประเด็นนี้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งมีอัตราการแพร่ระบาดสูงและทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ในอังกฤษ และเดนมาร์ก ที่จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุกสองวัน

2. เงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูงตลอดทั้งปี
ดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาด้านการผลิตที่ไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้เท่ากับช่วงก่อนที่ COVID–19 แพร่ระบาด เช่น ปัญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งถูกกระทบจากสังคมสูงวัย โดยในสหรัฐฯ มีแรงงานที่ถูกปลดในช่วง COVID–19 จำนวนมากถึงกว่า 3 ล้านคน เป็นแรงงานที่มีอายุมากกว่า 55 ปี ซึ่งส่วนใหญ่อาจตัดสินใจเกษียณอายุและไม่กลับสู่ตลาดแรงงานอีกแล้ว

3. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงกระแส Deglobalization ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะยาว ในขณะที่ความพยามในการลดก๊าซเรือนกระจก ทำให้การลงทุนในแหล่งพลังงานฟอสซิลลดลงอย่างรวดเร็ว จนอาจทำให้ต้นทุนราคาพลังงานสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย

4. นโยบายการเงินที่เข้มงวด
ทาง TISCO ESU คาดว่า ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางจะทำให้นโยบายการเงินมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะยุตินโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย (QE) ในไตรมาส 1/ 65 และอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในทันทีที่ QE ยุติลง ซึ่งสภาพคล่องที่ลดลงและดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นชัดเจน จะเป็นปัจจัยกดดันต่อมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นในปี 65 โดยข้อมูลในอดีตชี้ว่าค่าอัตราราคาปิดต่อกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) จะลดลงเฉลี่ย 5% ในช่วง 2 - 3 เดือนหลังจากที่ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก

 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า ไตรมาส 1/65 ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจปรับฐานประมาณ 5% แต่ยังคาดว่าสิ้นปี 65 ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกตามการขยายตัวของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
... หากลงลึกการลงทุนไปยังรายประเทศ มองว่า ตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจาก
1. มูลค่าหุ้นที่ยังถูกกว่า และมีส่วนลด (Discount) ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับในอดีต

2. ความยืดหยุ่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปและญี่ปุ่นมีมากกว่าสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับเงินเฟ้อที่สูง
ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) จะถูกกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี


SiTh LoRd PaCk