ห้องเม่าปีกเหล็ก

ผลศึกษาต่างประเทศชี้อุตสาหกรรมโทรคมรวมกิจการ เสริมแกร่งธุรกิจ ไทยอย่าให้ตกขบวน

โดย ramchaiyo
เผยแพร่ :
66 views

การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นแรงกดดันให้ทุกอุตสาหกรรมต้องปรับตัวผ่านความร่วมมือกันในหลากหลายรูปแบบ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลายธุรกิจเลือกใช้กลยุทธ์การควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) เป็นบันไดในการปรับตัว เพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ McKinsey & Company ที่เผยว่า ทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโทรคมนาคมได้ลงทุนในการควบรวมกิจการไปกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน โดยในปี 2564 ผู้ให้บริการโทรคมนาคมระดับประเทศและภูมิภาคในสหรัฐอเมริกาก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเสริมแกร่งธุรกิจหลักของโทรคมนาคม ผ่านการซื้อกิจการในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน หรือควบรวมกิจการกัน เพราะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น

 

 

 

นอกจากนี้ ธุรกิจโทรคมนาคมยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จากที่เคยให้บริการในระดับเครือข่ายท้องถิ่นเป็นหลัก ไปสู่การมองถึงโอกาสการขยายตลาดไปในระดับสากลมากขึ้น เช่น จากการให้บริการโทรศัพท์บ้านไปสู่บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือจากบริการเครือข่ายไปสู่บริการด้านคอนเทนต์ และกำลังปรับเปลี่ยนจากบริการโทรคมนาคมอย่างเดียวไปสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยี (Technology Company) เพื่อสร้างโอกาสการเติบโต ที่จะช่วยเสริมขีดความสามารถของประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต

 

ภูมิภาคอาเซียนของเราก็เดินตามเทรนด์ธุรกิจโลกเช่นกัน ล่าสุด มาเลเซียได้อนุมัติการควบรวมกิจการระหว่าง Celcom Axiata ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถืออันดับ 3 ของมาเลเซีย และ Digi.Com ผู้ให้บริการอันดับ 2 ที่มีกลุ่ม Telenor เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งจากแผนการลงทุนมูลค่าสูงหลังการควบรวมคาดว่าจะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและผลักดันมาเลเซียให้ก้าวไปอยู่แถวหน้าด้านวิวัฒนาการดิจิทัลระดับโลก

 

ส่วนประเทศไทยนั้น ความพยายามจะทรานสฟอร์มตัวเองของธุรกิจโทรคมนาคมไปสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยี ผ่านการควบรวมกิจการกันระหว่างดีแทคและทรู ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ที่ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า คณะกรรมการฯ ขอต่อเวลาการพิจารณาออกไปจากกรอบเดิม 60 วัน ทำให้เกิดความกังวลว่า ความล่าช้าในการตัดสินใจของผู้กำกับดูแลจะส่งผลต่อธุรกิจและกระบวนการทรานสฟอร์มที่มุ่งหวังจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโทรคมนาคมของไทยในก้าวทันโลกยิ่งห่างไกลออกไป

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผู้บริหารกลุ่มเทเลนอร์ บริษัทแม่ของดีแทค นายซิคเว่ เบรคเก้ ได้ออกมาย้ำว่า การควบรวมกิจการระหว่างดีแทคและทรู เพื่อจัดตั้งธุรกิจเทเลคอม-เทคโนโลยี ที่จะนำเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งความเชี่ยวชาญของเทเลนอร์ ทั้งในกลุ่มภูมิภาคนอร์ดิกและเอเชีย มาช่วยให้ทรูและประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้ไทยก้าวขึ้นป็น “ฮับ” เทคโนโลยีของภูมิภาคได้ จึงมั่นใจได้ว่า การควบรวมครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มการแข่งขันในประเทศ รวมถึงผลักดันให้ไทยขึ้นไปแข่งขันกับผู้เล่นระดับโลก ที่เป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่งที่เข้ามาท้าทายตลอดเวลาได้ โดยคาดหวังว่าจะปิดดีลได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้

 

นับเป็นการตอกย้ำความมั่นใจในการลงทุนและเดินหน้าธุรกิจด้วยความหนักแน่นของผู้บริหารดีแทค ที่สะท้อนมุมมองและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับกระแสเทคโนโลยีและธุรกิจของโลก และเหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้กำกับดูแลว่า เรื่องของเทคโนโลยีจะช้าอยู่ไม่ได้ เพราะการพัฒนาเดินหน้าไปเร็วมาก ยิ่งช้าประเทศไทยยิ่งตกขบวน แข่งขันไม่ทันโลก จึงเหลือก็แต่ผู้กำกับดูแลว่าจะมองเห็นและมองในมุมเดียวกันกับชาวโลก หรือจะยังยึดโยงอยู่ในยุคอนาล็อก ที่การเชื่อมต่อและต่อติดไม่ทันการ จนทำให้ธุรกิจ เศรษฐกิจ และประเทศไทย ต้องติดขัดและตกขบวนอยู่อย่างล้าหลังเหมือนเดิม

 

 


ramchaiyo