ห้องเม่าปีกเหล็ก

เจาะพื้นฐาน 5 หุ้นมาร์เก็ตแคปมากสุด

โดย ใจอยู่ที่กระบี่
เผยแพร่ :
220 views

เจาะพื้นฐาน 5 หุ้นมาร์เก็ตแคปมากสุด

ลุ้นดึงเม็ดเงิน หาก DELTA หลุด SET50

.

ในช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นไทยโดนกดดันอย่างหนัก จากบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่มีการปรับตัวลดลงรุนแรง ด้วยขนาดของมาร์เก็ตแคปที่สูงที่สุดในตลาดหุ้นไทยจึงทำให้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้น

.

ขณะเดียวกันในช่วงไม่กี่วันมานี้ก็มีกระแสที่ว่าหุ้น DELTA มีโอกาสที่จะหลุดจาก SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ที่ว่าหุ้นจะเข้าเกณฑ์การคำนวณดังกล่าวจะต้องมีการซื้อขายด้วยระบบปกติไม่น้อยกว่า 9 ใน 12 เดือน แต่สำหรับ DELTA ติด TRADING ALERT ในปีนี้ 3 เดือนแล้ว หากมีการติดเพิ่มอีก 1 เดือนในระยะถัดไป ก็จะทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว

.

แน่นอนว่าจากประเด็นข้างต้นนี้ ก็ถือเป็นโอกาสให้หุ้นตัวอื่นๆที่เกณฑ์กับเข้ามามีบทบาทหรือความสำคัญจากนักลงทุนสถาบันต่อการให้น้ำหนักการลงทุนมากขึ้น แต่ข้อสันนิษฐานนี้จะเป็นข้อมเท็จจริงเพียงใด ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จะพาไปดูมุมมองของผู้เชี่ยวชาญกัน

.

โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า วานนี้ DELTA ปรับตัวลง 21.50 บาท หรือลดลง 18.30% เป็น 96 บาท ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยประมาณ 21.5 จุด เนื่องจากการปรับตัวลงของราคาหุ้น DELTA ทุก 1 บาทจะมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย 1 จุด ทั้งนี้หากปรับผลของ DELTA ออกเท่ากับว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปิดวานนี้ที่ 1,537.59 จุด ลดลง 19.33 จุด หรือลดลง 1.24% แท้จริงควรปิดบวก 2.17 จุด

.

สำหรับกรณีของ DELTA ปัจจุบันติด Cash balance แล้วเป็นครั้งที่สองของปี ทำให้มีความเสี่ยงที่จะหลุดจากการคำนวณ SET50 ในรอบครึ่งปีแรกปี 2567 หากติดเกณฑ์มาตรการกำกับการซื้อขายของตลาด (รวม Cash balance ด้วย) เพิ่มภายในเดือน พ.ย. นี้ เพราะจะทำให้หลักทรัพย์มีสภาพการซื้อขายปกติไม่ครบ 9 ใน 12 เดือน

.

ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นลงของราคาหุ้น DELTA กลายเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะเมื่อปริมาณการซื้อขายในตลาดเบาบางและนักลงทุน นักเก็งกำไรต่างไม่รู้จะเล่นอะไรดี หลังตลท.สั่งให้ DELTA ถูกซื้อขายด้วยบัญชี cash balance (มีผล 20 มิ.ย.-10 ก.ค. 2566) ทำให้ตลาดมีความเสี่ยงที่จะเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น แรงเทขายทำกำไรและกระแสเงินที่ไหลออกมาจาก DELTA มีโอกาสที่จะหมุนไปเข้าหุ้นใหญ่ที่มีพื้นฐานดีและมีปัจจัยบวกหนุนจะมีความเหมาะสมสำหรับการลงทุนในช่วงระยะนี้

.

พร้อมกันนี้ ทาง Wealthy Thai จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุด 5 อันดับแรก รองลงมาจาก DELTA ว่าจะมีหุ้นใดบ้างนั้นจะพาไปชมกัน พร้อมด้วยพื้นฐานและมุมมองการลง คำแนะนำ จากผู้เชี่ยวชาญ

.

AOT รองจาก DELTA มาร์เก็ตแคป 1.03 ล้านล้านบาท

โดยเริ่มกันที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ที่มีมาร์เก็ตแคปรองลงมาจาก DELTA หรืออยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2566) ซึ่งบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ก็ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” และราคาเป้าหมายที่ 78 บาท

.

สำหรับปัจจัยพื้นฐานคาดกำไรงวดปี 2566 (ต.ค.65 - ก.ย.66) จะฟื้นต่อเนื่องหรืออยู่ที่ 8.9พันล้านบาท ฟื้นตัวจากงวดปี 2565 (ต.ค.64 - ก.ย.65) ที่ขาดทุน 1.11 หมื่นล้านบาท ตามการฟื้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดปี 2566 (ปีปฏิทิน) ที่ 30.6 ล้านคน คิดเป็น 77% ก่อนCOVID และปี 2567 ที่ 39.8 ล้านคน คิดเป็น 100% ก่อน COVID แต่อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ฟื้นตัวได้สะท้อนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานแล้วเช่นกัน

.

PTT มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 9.06 แสนล้านบาท

ถัดไปเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 9.06 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2566) บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 34.50 บาท โดยกำไรไตรมาส 2/66 จะใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้าแต่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ธุรกิจก๊าซจะมีทิศทางดีขึ้น แต่ธุรกิจโรงกลั่น-พลังงานต้นน้ำยังคงอ่อนแอ

.

ส่วนภาพกำไรปี 2566 จะอยู่ที่ 1.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 12% จากธุรกิจต้นน้ำที่ควบคุมต้นทุนให้อยู่ระดับต่ำ, ธุรกิจก๊าซได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศเพิ่มขึ้น, ธุรกิจน้ำมันฟื้นตัวตามกิจกรรมการเดินทางท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ และธุรกิจไฟฟ้าฟื้นตัวจากทั้งอุปสงค์และอัตรากำไร แต่อย่างไรก็ดีด้วยนโยบายแทรกแซงพลังงานที่จะกระทบ PTT อาจทำให้ประมาณการเกิดดาวน์ไซด์

.

ADVANC มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 6.51 แสนล้านบาท

อันดับต่อมา บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 6.51 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2566) ซึ่งบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 240 บาท

.

พร้อมกับประมาณการกำไรทั้งปี 2566 ที่ 2.58 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 0.1% จากการแข่งขันด้านราคาโดยเฉพาะในตลาดมือถือที่ลดลงเร็วกว่าคาดและดีล TTTBB ที่ล่าช้าออกไป 1 ไตรมาสทำให้ผลกระทบเชิงลบต่องบการเงินระยะสั้นในปี 2566 ลดลง เพราะจะรับรู้งบที่ขาดทุนเพียงครึ่งปีหลังปี 66

.

PTTEP มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 5.99 แสนล้านบาท

ถัดไปเป็นบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 5.99 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2566) โดยบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 160 บาท

.

ขณะที่ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2/66 ยังคงไม่เด่น เบื้องต้นประเมินกำไรที่ 1.6 –1.7 หมื่นล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน ตามปริมาณขายที่ลดลง ขณะที่ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 2% รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันช่วงสั้นให้ประคองตัวได้ดีและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

.

CPALL มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 5.74 แสนล้านบาท

สุดท้าย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 5.74 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2566) ซึ่งบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 75 บาท

.

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/66 จะเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว,เม็ดเงินสะพัดในช่วงเข้าสู่การเลือกตั้งและได้อานิสงส์จากหน้าร้อน สำหรับกำไรทั้งปีที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 33% จากกำลังซื้อที่ยังแข็งแกร่งตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และดอกเบี้ยจ่ายลดลงหลัง MAKRO และ Lotus’s บริหารจัดการภาระหนี้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 


ใจอยู่ที่กระบี่