ความผันผวนของตลาดหุ้นท่ามกลางความกังวลของนักลงทุน
ความกลัวได้ครอบงำนักลงทุนอีกครั้ง โดยส่งผลให้ตลาด Wall Street เกิดความสับสน หลังจากที่นักลงทุนได้ Debate กันว่าเมื่อไรตลาดกระทิงที่อยู่ในตลาด America อย่างยาวนานจะสิ้นสุดลง หรือยังสามารถหายใจได้ต่อไป!!!
.
จากประเด็นการทวีตของ ปธน. ทรัมป์ ว่าตนเองเป็น “Tariff Man” หรือมนุษย์ภาษี, ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ขัดแย้งกัน (Invert yield curves) รวมไปถึงประเด็นการจับกุมตัวลูกสาวประธานหัวเหว่ย บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ยังเป็นสาเหตุให้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน
.
หลังจาก ที่ S&P ได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 3.2% เมื่อวันอังคาร จากการที่ตลาดคลายความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และตกลงมาอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโดยปิดที่ 2,633.08 จุด
.
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ยังไม่มีสัญญาณการ Downturn ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนใดๆ และเห็นว่าตลาดมีความกังวลมากเกินไป ซึ่งยังคงเป็นคำถามต่อไปว่าเมื่อไรจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจอีกครั้ง เป็นเดือน? ไตรมาศ? หรือเป็นปี?
.
Nicholas Colas ผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทวิจัย DataTrek กล่าวว่า “ตลาดยังเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่ว่า เราอยู่ใน Stage สุดท้ายของ Economic Cycle” อีกทั้ง พวกเขา (นักลงทุน) กำลังมองหาเชื้อเพลิงชั้นดี เพื่อเป็นสาเหตุให้เกิดมหาอัคคีภัยในระบบเศรษฐกิจ
“Tariff Man”
ความหวังการหยุดประเด็นข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้กลับมาสร้างความกังวลให้กับตลาดเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่นักลงทุนเพิ่งจะฉลองการบรรลุข้อตกลงการขึ้นภาษีชั่วคราวไปจนถึงปีหน้าของสองประเทศ ในการประชุม G-20 เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาที่อาเจนติน่า
.
ทรัมป์ได้จุดประเด็นให้กับตลาด โดยหลังจากที่เรียกตนเองว่าเป็น “Tariff Man” บนทวีตเตอร์ของเขา โดยวันนั้น Dow Jones ลดลงฮวบถึง 799 จุด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ มองว่าการทวีตของเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สร้างความกังวลให้กับตลาด
.
“พฤติกรรมของเขาที่เรียกตนเองว่าเป็น Tariff Man เป็นสิ่งที่ทำตัวเหมือนเด็กๆ และไม่มีคุณสมบัติเหมือนที่จะเป็นประธานาธิบดี” Denis Gartman บรรณาธิการและผู้ประกาศของ The Gartman Letter ได้เขียนไว้เมื่อวันพฤหัสบดี โดย Gartman ยังกล่าวอีกว่า เราทำได้แค่เพียงส่ายหัวในความสงสัยและท้อใจกับการกระทำของเขา
.
Gartman ยังเหน็บทรัมป์อีกว่า ปธน. ได้กล่าวว่า นโยบายการเก็บภาษีของเขาจะทำให้อเมริกากลับมาร่ำรวยอีกครั้ง แม้ว่าความจริงแล้ว นโยบายเหล่านี้ถูกจ่ายโดยบริษัทของอเมริกาเองและผู้บริโภคภายในประเทศ
.
สอดคล้องกับ David Kotok ประธานและหัวหน้าการลงทุนของ Cumberland Advisor ได้เขียนไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “การจ่ายเงินที่มาจากนโยบายของเขาก็มาจากกระเป๋าตังค์ของฉันและทุกคน” และยังเสริมอีกว่า “ในสงครามการค้าปืนหลายกระบอกถูกชี้เป้ากันภายในเอง และสุดท้ายก็ไม่มีใครชนะ”
อย่างนี้สงครามการค้าจะทำให้ดีขึ้นหรือแย่ลง?
ตลาดหุ้นได้ตกลงอีกครั้งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังจากการจับกุมนาง Meng Wanzhou ที่แคนดา ซึ่งเป็น CFO ของ Huawei และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Huawei บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีที่เหมือนกับ Apple ในประเทศจีน การจับกุมดังกล่าว เป็นการเรียกร้องของรัฐบาลสหรัฐ ที่จะเหมือนเป็นการจุดชนวนสงครามการค้าระหว่างสองประเทศอีกครั้ง
.
“การจับกุมตัวครั้งนี้ เป็นเหมือนการทำให้สถาณการณ์มันแย่ลง” Joe Quinlan หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Bank of America’s US Trust ได้กล่าวไว้
.
การตั้งกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐจะเป็นการลดการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม อีกทั้งยังเป็นการตัดตอน Supply Chain ส่งผลการตัดสินใจการลงทุนต้องชะลอตัวไปด้วย โดยหุ้นอย่างเช่น Boeing (BA) และ Caterpillar (CAT) ได้ปรับตัวลดลงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
.
นอกจากนั้น ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าดังกล่าว ยังทำให้ IMF ได้ลดระดับการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจทั้งจีนและสหรัฐอีกด้วย...
อ้างอิง https://edition.cnn.com