แม้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะดำเนินมาตรการกำกับดูแล และการตรวจสอบความผิดปกติในตลาดหุ้นอย่างเข้มข้น แต่พฤติกรรมการปั่นหุ้นยังไม่หมดไปเสียที ล่าสุดได้มีการกล่าวโทษผู้ถือใหญ่ บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ PICO ในความผิดสร้างราคาหุ้นอีก
การปั่นหุ้น PICO ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นขบวนการ แต่เกิดจากฝีมือคนเพียงคนเดียวคือ นายสุรินทร์ บรรยงพงศ์เลิศ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของบริษัท โดยถือหุ้นจำนวน 25.05 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 11.64 %
ความน่าสนใจในการปั่นหุ้นตัวนี้อยู่ที่ ตลาดหลักทรัพย์ ฯ ได้พบความผิดปกติของราคาหุ้น และเมื่อตรวจสอบพบว่า นายสุรินทร์อยู่เบื้องหลัง จึงส่งสัญญาณผ่านบริษัทโบรกเกอร์ 4 แห่งที่นายสุรินทร์ เปิดบัญชีซื้อขาย แต่นักปั่นรายนี้กลับไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตา ส่งคำสั่งซื้อขาย
สร้างภาพลวงตาหลอกนักลงทุนต่อไป จนถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษ
พฤติกรรมการปั่นหุ้นเกิดขึ้นระหว่างช่วงวันที่ 25 กรกฎาคม จนถึง 9 สิงหาคม 2560 หรือประมาณ 1 ปีก่อนหน้า โดยนายสุรินทร์ เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น 4 บัญชี และส่งคำสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลให้ประมาณการซื้อขายและราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติ และมีนักลงทุนสนใจซื้อหุ้น PICO เป็นจำนวนมาก นายสุรินทร์ จึงขายหุ้นทำกำไร
คณะกรรมการพิจารณาโทษทางแพ่ง ได้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาบังคับใช้ แต่นายสุรินทร์ ไม่ยอมรับโทษทางแพ่ง ก.ล.ต. จึงส่งเรื่องให้อัยการฟ้องคดต่อศาลแพ่ง โดยขอให้กำหนดโทษทางแพ่งสูงสุด โดยชำระค่าปรับทางแพ่ง ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบของ ก.ล.ต. รวมเป็นเงิน 24.54 ล้านบาท
และห้ามนายสุรินทร์ ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ฯ ห้ามเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายเป็นเวลา 5 ปี ห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 10 ปี
นอกจากนั้น ก.ล.ต. ได้รายงานให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟองเงิน (ป.ป.ง.) ดำเนินการต่อ เพราะเป็นความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น
PICO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ วันที่ 20 เมษายน 2547 หลังนำหุ้นเสนอขายนักลงทุนทั่วไปในราคา 6.25 บาท จากพาร์ 1 บาท โดยเป็นหุ้นที่ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก เพราะผลประกอบการไม่โดดเด่น จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยมีจำนวนทั้งสิ้นเพียง 662 ราย
ค่า พี/อี เรโช หุ้นตัวนี้ อยู่ที่ 2.487 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 2.02 % และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ส่วนราคาหุ้นในรอบ 12 เดือน สูงสุดที่ 7.70 บาท ต่ำสุดที่ 5.15 บาท ซึ่งถือเป็นหุ้นที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบมาก
การตรวจสอบ และพิจารณาโทษในความผิดสร้างราคาหุ้น PICO ถือเวลารวดเร็วมาก โดยภายใน 1 ปี สามารถรวบรวมหลักฐาน ถึงขั้นกล่าวโทษได้
ส่วนนายสุรินทร์ อาจเหมือนผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่มีความโลภ อยากรวยมากขึ้นไปอีก ทั้งที่รวยอยู่แล้ว เมื่อโอกาสในการตักตวงผลประโยชน์ จึงปฏิบัติการปั่นหุ้นทันที โดยไม่คำนึงว่า กำลังเอาเปรียบนักลงทุนทั่วไป
และกำลังกอบโกยความมั่งคั่ง บนความสูญเสียของคนอื่น
ไม่รู้ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ของ PICO รายนี้ คิดอะไรอยู่ในระหว่างปั่นหุ้น เพราะเมื่อตลาดหลักทรัพย์ ฯ ส่งสัญญาณว่า กำลังตรวจสอบการซื้อขาย และรู้ว่า นายสุรินทร์ กำลังปั่นอยู่ ซึ่งนายสุรินทร์ ควรจะวางมือทันที แต่กลับ “ เมามัน ” ปั่นหุ้นต่อไป โดยไม่เกรงกลัวความผิดแม้แต่น้อย
เมื่อถูกจับได้ มีหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจน และบทลงโทษไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก ถ้ายอมจ่ายค่าปรับ ก็ปิดคดีได้ ไม่ต้องเสียเวลาขึ้นศาล ไม่ต้องเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งป.ป.ง. จะลงมาลุยตรวจ และไม่ใช่เรื่องสนุก
ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษ และส่งเรื่องให้ ป.ป.ง.สอบต่อ หลายคนต้องวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ เพื่อปิดคดี
เพราะถ้าถูกดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงิน บทลงโทษจะหนัก
เจอนักปั่นมากันเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเจอใครหัวดื้อเท่านายสุรินทร์ ดื้อตั้งแต่ถูกจับได้ว่ากำลังปั่นหุ้น แต่ไม่ยอมเลิก ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนก็ไม่ฟัง ก.ล.ต. เรียกเสียค่าปรับ กลับไม่ยอมจ่ายอีก
ถูกส่งเรื่องให้ ป.ป.ง. สอบเส้นทางการเงิน คราวนี้นักปั่นหุ้น PICO จะรู้สึกละ เช่นเดียวกับนักปั่นหุ้นหรือคดีไซ่ฟอนเงินจากบริษัทจดทะเบียนที่กำลังรู้สึกว่า
เล่นกับ ป.ป.ง. ไม่สนุกแน่
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก คอลัมน์ " ชุมชนคนหุ้น " โดย สุนันท์ ศรีจันทรา ใน MGR Online เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นรอบใหญ่ได้ใน longtunbysak.blogspot.com