ห้องเม่าปีกเหล็ก

Growth คือสิ่งที่นักลงทุนให้ความกังวลมากที่สุด

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
73 views


6 ธ.ค. 2561 / 17.45 น.

Cr.Wattana Stock Page

เคยเขียนไปแล้วก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นหลัง Fed ออกมาให้ความเห็นที่มีมุมมองแข็งกร้าวน้อยลงต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนีดีดขึ้นจากการคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นรุนแรงแบบที่คาดไว้ก่อนหน้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้สูงขึ้นอย่างที่คิด

แต่นั่นเป็นเพียงภาพระยะสั้น!!

เพราะตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น ปัจจัยหลักที่เป็นตัวผลักดันก็คือ "การเติบโต" ของภาวะเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั่นเอง

การที่ Fed เริ่มมีมุมมองที่อ่อนลงต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังเริ่มให้ความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจในปีหน้า สะท้อนให้เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่เติบโตมาได้อย่างต่อเนื่อง อาจเริ่มชะลอลงนั่นเอง

และนั่นก็ถูกตอกย้ำด้วยปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงการซื้อขายเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า "Inverted Yield Curve"

ผสมโรงกับทวิตข้อความของ ปธน.ทรัมป์ เกี่ยวกับการเจรจาทางการค้ากับจีน ทำให้ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลงเฉียด 700 จุด ก่อนที่จะหยุดทำการในวันพุธที่ 5 ธันวาคม เพื่อไว้อาลัยใหักับการถึงแก่อสัญกรรมของอดึตประธานาธิบดี จอร์จ บุช (ผู้พ่อ)

และในวันนี้ Dow Jones Futures ก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีก 300 จุด

Yield Curve คือกราฟที่นำเอาผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุต่างๆกันมาพล็อตเป็นกราฟ โดยทั่วไปแล้ว กราฟจะมีลักษณะสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง

กล่าวคือ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุสั้นจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรที่มีอายุยาวกว่า

ในภาวะทั่วไป ที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นในการถือครองพันธบัตรที่อายุยาวกว่า นั่นเพราะมีปัจจัยอื่นๆที่เข้ามามีผลกระทบ เช่น อัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น

นอกจากนั้น โดยทั่วไป การปรับขึ้นหรือลดของดอกเบี้ย Fed Fund Rates นั้น จะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นมากกว่าระยะยาว

ในระยะที่ผ่านมา Fed ได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวขึ้นมามาก ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเท่า

ทำให้ความแตกต่างของผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะที่ยาวกว่าในบางช่วงนั้นแคบเข้ามามาก จนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีช่วงต่างของพันธบัตรในบางช่วงที่มีค่าติดลบในช่วงระยะหนึ่ง (หมายความว่า ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะที่ยาวกว่า) ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นไปมีค่าบวกเล็กน้อยเช่นเดิม

นั่นจึงทำให้ Yield Curve ในบางช่วงมีลักษณะเป็นเส้นตรง ไม่ได้เป็นขาขึ้นเหมือนภาวะปกติ

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เป็นที่มาของพาดหัวข่าวของสำนักข่าวเศรษฐกิจทั่วโลกเกี่ยวกับภาวะ Inverted Yield Curve นั่นคือ yield curve มีลักษณะตรงกันข้ามกับ Yield Curve โดยทั่วไป

สิ่งนี้สร้างความกังวลอย่างมากกับนักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ นั่นเพราะจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา Inverted Yield Curve ถือว่าเป็น Leading Indicator ที่ชัดเจนที่จะนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ หรือว่า Recession

โดยจากข้อมูลในอดีต มีเหตุการ Inverted Yield Curve ที่นำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจถึง 3 ครั้ง

แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเกิด Inverted Yield Curve แล้วจะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในทันที

เพราะมันเป็น leading indicator - ก็คือ inverted yield curve จะเกิดขึ้นก่อนการถดถอยทางเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในอดีต ใช้เวลาราว 20 เดือน

แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐถูกผลักดันด้วยเรื่องของ growth มาโดยตลอด

ดังนั้น แม้เพียงปัจจัยเล็กๆ (ที่ไม่ได้เล็กเลย) ที่ชี้นำให้เห็นว่า เศรษฐกิจอาจชะลอการเติบโต นักลงทุนก็พร้อมที่จะเทขายหุ้นออกมาในทันที

ส่งผลให้ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลงรุนแรง

อย่างไรก็ตาม แม้นักวิเคราะห์จะจับตาเรื่องของ inverted yield curve ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า เศรษฐกิจจะต้องเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่นอน

เพราะผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาวแค่บางช่วงของ yield curve เท่านั้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนในข่วงระยะสั้นกับระยะกลาง แต่ผลตอบแทนระยะยาว 10 ปีขึ้นไป ยังคงสูงกว่า ซึ่งผิดกับเหตุการณ์ในอดีตที่ภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นเมื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนในช่วง 7 ปี - 10 ปี

นักวิเคราะห์มองว่า ภาวะ inverted yield curve ที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆนี้ เป็นสัญญาณที่ส่งไปยัง Fed ในการบริหารนโยบายทางการเงินผ่านทางการปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rates ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

การที่ Yield Curve ของสหรัฐอยู่ในภาวะที่แทบจะเป็นเส้นตรงในบางช่วงของกราฟ แสดงให้เห็นว่า Fed ปรับชึ้นอัตราดอกเบี้ย "เร็วเกินไป" จนไปกระทบกับผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรง

แสดงให้เห็นว่า มุมมองของ Fed กับมุมมองของนักลงทุนทั่วไปต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงก่อนหน้านี้มีความแตกต่างกัน

Fed อาจจะมีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ "ดีเกินไป" จึงเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งระดับของดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะ "สูงเกินไป" กับภาวะเศรษฐกิจในระยะ 2 - 3 ปีข้างหน้า

แต่แน่นอนว่า การปรับขึ้นหรือลดดอกเบี้ยของ Fed ไม่ได้ใช้ "ความรู้สึก" แต่ต้องอาศัย "ข้อมูลทางเศรษฐกิจ" หลายๆอย่าง ดังที่เจ้าหน้าที่ของ Fed ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า Fed อาศัยข้อมูลเป็นสำคัญ ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่มากเพียงพอ ข้อมูลที่เปลี่ยนไปแบบรุนแรงแค่ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ Fed เปลี่ยนแปลงมุมมองได้

ท้ายที่สุด ทุกอย่างก็วนกลับมาสู่เรื่องของ "การเติบโต" หรือ Growth ซึ่งเป็นตัวผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐมาก่อนหน้านี้นั่นเอง

เมื่อตลาดขึ้นมาได้เพราะ growth หากมีอะไรที่ทำให้ growth ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง นักลงทุนย่อมพร้อมที่จะลดความเสี่ยงออกมาโดยทันที หลังจากที่ได้กำไรมามากกว่า 100% ในช่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐรอบที่ผ่านมา

สำหรับบ้านเรา นักวิเคราะห์เห็นตรงกันหมดแล้วว่า คณะกรรมนโยบายการเงินน่าจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้อย่างแน่นอน เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าสหรัฐ - จีน

อัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง ทำให้ กนง. ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งในการปรับขึ้นดอกเบี้ย และคาดว่า กนง. น่าจะรอดูผลกระทบของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ - จีน โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกันของทั้งสองประเทศ

ที่สำคัญ แม้ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะเติบโต แต่ก็มีความเสี่ยงโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ดังนั้น การคงดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ น่าจะยังเหมาะสมในช่วงเวลานี้ และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป ที่เริ่มมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก


คนเล่นหุ้น