Cover Story : โลกร้าวหลังสงคราม New World Monetary Order ระเบียบการเงินโลกใหม่ ดอลลาร์อาจไม่ใช่เงินสกุลหลักอีกต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์ฉายภาพ “ภาวะโลกร้าว (Fragmentation)” ที่กำลังเกิดรอยร้าวแบ่งแยกพื้นที่กระจายออกเป็นส่วนๆ อันเนื่องมาจากภาวะสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ ที่นำมาซึ่งความไม่ไว้ใจกันและกัน จนสั่นคลอนระบบการเงินโลก ที่กระจายกลายเป็นระเบียบโลกใหม่ ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมหาอำนาจเดิมอีกต่อไป แล้วโอกาสรอดของประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน?
สงครามสร้าง 3 สถานการณ์ เปลี่ยนระเบียบโลกใหม่ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ “การเงินธนาคาร” ถึงผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ว่า นำมาสู่ 3 สถานการณ์สำคัญที่มีผลต่อโลกหลังจากนี้ คือ สถานการณ์แรก “ก่อให้เกิดวิกฤติ” หากย้อนไปในช่วงต้นปี 2565 ยังไม่มีการเฉลียวใจว่าสงครามในครั้งนี้จะมีนัยสำคัญตามมา เพราะต่างมองว่าเป็นการสู้รบกันเหมือนหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ทันคิดว่าจะนำมาสู่วิกฤติพลังงานและอาหาร เพราะรัสเซีย-ยูเครนมีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านอาหารของโลกในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะเรื่องของปุ๋ยและอาหารสัตว์
นอกจากนี้ จากวิกฤติพลังงานและอาหารได้นำมาสู่วิกฤติเงินเฟ้อ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลากหลายอย่างตามมาและทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกยากขึ้นกว่าเดิม จากที่เคยมีมุมมองว่าโลกจะต้องรับมือกับการปรับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างเดียวก็ยากแล้ว แต่เมื่อมาเจอปัญหาวิกฤติเงินเฟ้อที่เป็นผลจากสงครามรัสเซียยูเครนยิ่งทำให้ยากมากกว่าเดิม
“วิกฤติอาหารทำให้บางประเทศแทบจะไม่มีอาหาร เช่น ศรีลังกา บางประเทศเริ่มประกาศปกป้องตัวเอง ปิดไม่ให้มีการส่งออกอาหาร เช่น มาเลเซียงดส่งออกไก่ อินโดนีเซียงดส่งออกน้ำมันปาล์ม วิกฤติอาหารจะค่อยๆ ลุกลามและไปไกลกว่านี้ โดยเฉพาะราคาปุ๋ยที่แพงขึ้น ทำให้เกษตรกรงดใช้ปุ๋ย ผลผลิตที่ออกมาฤดูกาลเพาะปลูกหน้าจะน้อยลง”
สถานการณ์ที่สองคือ “โลกที่ร้าว” (Fragmentation) เป็นสถานการณ์ที่ความเป็นเนื้อเดียวของนานาประเทศแตกออกเป็นส่วนๆ ทั้งระบบโลกการค้าการลงทุน ซึ่งในมุมของนักเศรษฐศาสตร์จะอยากเห็นการเป็นเนื้อเดียวกันของโลกทั้งหมด เพราะจะทำให้เป็นตลาดแข็งขันสมบูรณ์ แต่ขณะนี้เริ่มเห็นการแบ่งโลกเป็นหย่อมๆ แตกออกมามีรอยร้าวในตลาดแข่งขัน และการใช้มาตรการคว่ำบาตรก็สร้างรอยร้าวในตลาดการค้าโลก เพราะรัสเซียมีการส่งออกสินค้าหลายอย่าง โดยเฉพาะน้ำมัน เมื่อมีการคว่ำบาตรทำให้ไม่เกิดการค้าขายเป็นเนื้อเดียวกัน
นอกจากโลกการค้าที่แตกออกเป็นส่วนๆ โลกของการลงทุนเริ่มมีการไม่เป็นเนื้อเดียวกันแล้ว เช่น การประกาศระงับการใช้เทคโนโลยีจากสหรัฐฯในรัสเซีย ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่เคยทำห้ามบริษัทเทคโนโลยีจากจีนก่อนหน้านี้ “โลกที่เคยเป็นเนื้อเดียวกันเริ่มมีรอยร้าว ทั้งเรื่องของอาหาร การค้า พลังงาน เทคโนโลยี ทำให้ขาดประสิทธิภาพเพราะต่างคนต่างทำและทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งคว่ำบาตรมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสร้างรอยร้าวมากขึ้นเท่านั้น เช่น ภาพของการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซียจะเกิดอะไรตามมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจจะทำให้ต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้น”
สถานการณ์ที่สาม “จุดเริ่มต้นของระเบียบโลกใหม่ โลกหาตัวเลือกอื่นที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์สหรัฐ” (New Oder) ผลพวงจากมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดระบบการเงินของโลกแบบใหม่ที่แบ่งเป็นกลุ่มๆ ทั้งระบบการเงินใหม่ที่เป็นกลุ่มของรัสเซียและจีน กลุ่มของอเมริกาและโลกตะวันตก นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่เริ่มกังวลเนื่องมาจากบทเรียนที่เห็นว่าระบบการเงินแบบเดิมที่เคยเปิดมานาน เปิดให้เข้าถึงได้เสรีก็พร้อมปิดกั้นได้ หากมีความขัดแย้งกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
“สิ่งที่หลายประเทศเห็นจากสงครามครั้งนี้คือ หากมหาอำนาจอย่างอเมริกาไม่ชอบหน้าใครก็สามารถสั่งปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงระบบการเงินของพวกเขาได้ เช่น พันธมิตรสหรัฐฯและประเทศตะวันตกประกาศคว่ำบาตรธนาคารกลางของรัสเซีย และตัดธนาคารรัสเซียบางส่วนออกจากระบบการชำระเงินทั่วโลกของ SWIFT ทำให้กลุ่มประเทศต่างๆ เริ่มจะหาระบบการเงินเป็นของตัวเอง จากเดิมที่ใช้ที่เดียวก็กระจายเป็นระบบของตัวเอง เกิดการแตกแยกของโลกการค้าการลงทุน”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สหรัฐฯไม่ได้เฉลียวใจคือ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบการเงินโลกไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการสั่นคลอนการเป็นระบบการเงินหลักของโลก เพราะการยึดทรัพย์สินของผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของอเมริกาทำให้เกิดภาพว่า “ระบบการเงินของอเมริกาปลอดภัยที่สุด จนกระทั่งคุณเป็นศัตรูของอเมริกา” ภาพความเชื่อมั่นว่ามีความปลอดภัย มีสภาพคล่องสูงของระบบการเงินดั้งเดิมสั่นคลอน เป็นช่องให้ระบบการเงินโลกใหม่เห็นโอกาสที่จะเข้ามาแทน
โดยที่ผ่านมา เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักที่ได้รับความนิยมสูงมากจนไม่มีคู่แข่งรายใดสามารถเทียบหรือพยายามเข้ามาแทนที่ได้ แต่สถานการณ์ในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้เงินหยวน คู่แข่งรายสำคัญของเงินดอลลาร์สหรัฐสามารถเข้ามามีบทบาท อย่างที่เห็นบางประเทศเริ่มสนใจใช้เงินหยวนในการซื้อขายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ กลุ่มประเทศต่างๆ ก็เริ่มมองหาความเป็นไปได้ในการใช้สกุลท้องถิ่นแทน เพราะเริ่มไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินที่สามารถปิดกั้นหากมีปมขัดแย้ง
โดยปัจจุบันเริ่มเห็นความนิยมในการใช้เงินดอลลาร์ลดลง จากเดิมทั่วโลกจะมีการถือเงินสำรองในรูปดอลลาร์สัดส่วน 70% ของทั้งหมดแต่เริ่มลดลงเหลือ 60% หรือแม้แต่ประเทศจีนก็เริ่มลดการถือเงินดอลลาร์เป็นทุนสำรอง จนทำให้การถือครองเงินดอลลาร์ของประเทศจีนต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ และทยอยย้ายการลงทุนออกจากสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของตัวเองลง
“จุดเริ่มต้นของระเบียบโลกการเงินใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คือการมองหาทางเลือกที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์ เพราะกลัวว่าวันหลังอาจจะถูกสหรัฐฯไม่ชอบหน้าขึ้นมา ทำให้โลกเกิดการกระจายออกเป็นส่วนๆ อาจจะใช้เวลาเพื่อพัฒนาทางเลือกใหม่ๆ ที่จะเป็นระบบการเงินใหม่เข้ามาแทนที่ แต่หยวนเป็นคู่แข็งที่น่าเกรงขามเพราะขนาดเศรษฐกิจใหญ่มากและกำลังจะแซงสหรัฐฯ” สงครามทหาร สงครามเงินเฟ้อ
ดร.กอบศักดิ์กล่าวอีกว่า สงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะไม่จบง่าย เพราะมีการคาดว่าเป้าหมายคือทำให้เศรษฐกิจรัสเซียแย่จนไม่สามารถมีเงินไปพัฒนาอาวุธและกองกำลังทหาร ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทางทหารมองว่า สงครามครั้งนี้เป็นเกมที่จะเปลี่ยนขั้วมหาอำนาจทางทหารในช่วง 10 ปีข้างหน้า
“มีคำถามว่า ทำไมสงครามครั้งนี้ถึงไม่จบง่ายและสู้มายืดเยื้อกว่าร้อยวัน ก็เพราะมีความต้องการให้ยืดเยื้อเพื่อทำให้รัสเซียอ่อนแอทางด้านยุทโธปกรณ์ พร้อมทำลายระบบเศรษฐกิจไม่ให้มีเงินสร้างอาวุธได้ใหม่ ใน 10 ปีให้หลังจากนี้รัสเซียจะไม่มีอำนาจแบบเดิม หากเป็นไปตามเกมที่มีการคาดไว้เช่นนี้จะไม่มีการเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินง่ายๆ”
ขณะเดียวกัน ไม่ได้มีแค่ภาวะสงครามทางด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างเดียว แต่มียังมีสงครามทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นด้วย คือ สงครามเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีเป้าหมายคือการลดอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำลง ซึ่งไม่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้ธุรกิจกระทบอย่างไร มีจำนวนคนตกงานมากเท่าไหร่ เฟดก็จะเดินหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คือการดึงอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำลง
ทั้งนี้ เพราะการที่เงินเฟ้อสูงก็เหมือนรถที่แล่นแล้วหม้อน้ำร้อนเกินไปต้องลดความร้อนนั้นลงเพื่อให้รถแล่นได้ต่อ ขณะนี้เฟดมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯร้อนแรงมากเกินไป จึงใช้ดอกเบี้ยมาสกัดเงินเฟ้อ และจะไม่หยุดหากไม่บรรลุเป้าหมายนี้ “เฟดมีการคาดการณ์ไว้ว่าในระยะข้างหน้าอาจจะมีจำนวนคนตกงานเป็นล้านคน แต่เฟดก็จะเดินหน้าต่อ ประธานเฟดได้กล่าวไว้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ คึกคักมากเกินไป คนตกงาน 1 คน มีอัตราว่างงาน 2 ตำแหน่ง วิธีการแก้ไขปัญหาตลาดแรงงานคือการปล่อยให้คนตกงาน และหากเฟดคุมเงินเฟ้อไม่ได้วิธีการสุดท้ายคือ ปล่อยให้เกิด Recession เพื่อให้เกิดการปรับสมดุลใหม่อีกครั้ง”
อย่างไรก็ดี สถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐฯที่ยังสูง ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากมาตรการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน (QE) ในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อสูงตามมาด้วย ท้ายที่สุดแล้วเฟดหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะ เพื่อสะสางปัญหาที่เกิดขึ้น แต่นโยบายของเฟดจะมีผลต่อตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีการก่อหนี้ไว้สูงเพื่อรับมือกับโควิด-19 หลายประเทศก่อนหน้าจะมีโควิด-19 ก็แย่อยู่แล้ว มาถึงตอนนี้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นซ้ำอีก เป็นเคราะห์ซ้ำให้ประเทศที่กำลังจะจมน้ำก็คงจะต้องจมน้ำจริงๆ ภาพของประเทศไหนที่อ่อนแอมากที่สุดจะเกิดปัญหาก่อนจากล่างสู่บน ไทยมีโอกาสรอด เตรียมรับวิกฤติ
ดร.กอบศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยเชื่อว่าจะรอดจากวิกฤตินี้ไปได้ เพราะมีความเข้มแข็งหลายอย่าง มีทุนสำรองค่อนข้างสูง ตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่กำลังกลับมาเที่ยวไทยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ภาคการท่องเที่ยวเคยสร้างรายได้มากกว่า 10% ต่อ GDP และมีการจ้างงานแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงต่อไป ส่วนการฟื้นตัวภาคการบริโภคเอกชนและภาคการผลิตยังค่อยๆ ฟื้นตัว
“ไทยยังมีเวลาพอที่จะรองรับกับวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิด ซึ่งอาจจะไม่เห็นในปีนี้แต่อาจจะเป็น 2 ปีข้างหน้าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่านี้ ระหว่างที่คนอื่นแย่แต่ไทยมีภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจไทยที่ดูดีเป็นพิเศษ เพราะมาช่วยในยามคับขัน คนอื่นไม่โต เราโตได้ คนอื่นไม่มีเงินสำรอง เรามีเงินสำรอง คนอื่นส่งออกไม่ได้ เราส่งออกอาหารได้ หากเราเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ 2 ปีให้หลังเราจะแข็งแรงมากพอ”
ทั้งนี้ โจทย์ของเศรษฐกิจไทยคือ ราคาพลังงานที่ต้องบริหารจัดการและไม่ปล่อยให้รัฐบาลแบกรับภาระมากเกินไป เพื่อไม่ให้ฐานะการคลังของภาครัฐต้องอ่อนแอในระยะข้างหน้า เป้าหมาย 2 ปีจากนี้ไทยต้องเตรียมตัวให้แข็งแรง หากภาคการเกษตรดีจะมีประชากรได้รับประโยชน์ 20 ล้านคน หากภาคท่องเที่ยวดีจะมีประชากรได้รับประโยชน์ 10 ล้านคน และหากส่งออกยังไปได้มีประชากรได้รับประโยชน์ 5 ล้านคน รวมกันเป็น 35 ล้านคน ที่จะสามารถได้รับอานิสงส์ก่อนจะเกิดวิกฤติที่จะมาวันข้างหน้า
“หัวใจคือทำอย่างไรที่จะใช้เวลาที่เหลือสร้างภูมิต้านทาน เมื่อรู้ว่ามรสุมจะมาก็ต้องหาเสื้อกันฝนเตรียมให้พร้อม คำถามคือ จะเตรียมได้มากแค่ไหนกว่าจะถึงจุดนั้น ซึ่งต้องสร้างความแข็งแกร่งในภาคท่องเที่ยวและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศไทยและส่งออกด้วย เกมนี้คือทำตัวให้ตัวเองไม่แย่ไปกว่านี้” SCB มองโลกอาจถูกแบ่งขั้ว แนะ คิดเผื่อ ยืดหยุ่น ปรับตัว
ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “การเงินธนาคาร” ว่า ปัจจุบันคนเริ่มชินกับสงครามรัสเซียยูเครนแล้ว อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจะยังมีความเสี่ยงและความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากโลกอาจถูกแบ่งขั้วเป็นโลกตะวันตกและตะวันออก ขณะที่ปัญหาอาจไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมืองแต่ผูกโยงไปกับเศรษฐกิจด้วย
“เราต้องคิดเรื่องการเมืองระหว่างประเทศกับเศรษฐกิจดีๆ เพราะจะมีความเสี่ยงในระยะสั้นและความท้าทายในระยาวเข้ามา โลกในอนาคตอาจถูกแบ่งขั้ว แต่วันนี้ยังไม่ชัดเจนว่าในอนาคตจะแบ่งขั้วอย่างไร อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนโยบายระหว่างประเทศและนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศต้องไปด้วยกัน สิ่งที่อยากสื่อคืออนาคตยังไม่ถูกกำหนด แต่ถ้ามีกลยุทธ์ที่ถูกต้องก็มีโอกาส”
ดร.สมประวิณกล่าวว่า จากความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยภาวะที่เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นและดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง เนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลประทบกับคนแต่ละกลุ่มไม่เท่ากัน โดยกลุ่มคนรายได้สูงอาจบริโภคสินค้าที่ราคาถูกลง เช่น โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ขณะที่คนรายได้น้อยซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศบริโภคสิ่งที่เป็นปัจจัยสี่ที่ราคาเพิ่มขึ้น จึงทำให้กำลังซื้อของประเทศลดน้อยลง
สำหรับการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อนั้นการที่สหรัฐฯ สามารถใช้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการสกัดเงินเฟ้อได้ เนื่องจากเงินเฟ้อของสหรัฐฯมีสาเหตุมาจากฝั่งอุปสงค์ หรือ Demand Pull Inflation ขณะที่ของไทยมีสาเหตุจากฝั่งอุปทาน หรือ Cost Push Inflation ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยสกัดไม่ได้แต่มีสิ่งที่ต้องทำ 2 เรื่อง ได้แก่
- การเยียวยา โดยมาตรการอุดหนุนแหละช่วยเหลือจากรัฐบาลมีความจำเป็นเพื่อไม่ให้เงินเฟ้อไปกระทบกับอุปทาน
- การป้องกันการคาดการณ์เงินเฟ้อ โดยหากมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจริง เนื่องจากคนจะขึ้นราคาสินค้า ซึ่งการป้องกันการคาดการณ์เงินเฟ้อทำได้โดยต้องมีการสื่อสารว่ามีมาตรการเยียวยาสนับสนุน
“การคาดการณ์เงินเฟ้อเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์กลัวที่สุด เมื่อคนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะสูงและปรับพฤติกรรมไปในทิศทางเดียวกันยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น การสื่อสารมีความสำคัญมาก โดยต้องบอกปัญหา ทำให้เห็นว่าเครื่องมือที่ใช้จัดการมีอะไรบ้าง และผลจากการใช้เครื่องมือเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร เนื่องจากทำให้คนมั่นใจ และ Inflation Expectation ก็จะไม่เกิด”
ทั้งนี้ คาดว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก หนึ่ง Supply ของน้ำมันมีมากขึ้น สองเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว โดยคาดว่าภายในไตรมาส 3 ปัญหาเงินเฟ้อของโลกและของไทยจะลดความรุนแรงลง
“การแก้เงินเฟ้อของไทยคือต้องไปทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้คนมีเงินจับจ่ายใช้สอย โดยมาตรการในการสนับสนุนจะเข้าไปมีส่วนช่วย การแก้เงินเฟ้อด้วยการทำให้เศรษฐกิจแย่เป็นการวิ่งตามปัญหา” ท่องเที่ยวจะเป็นพระเอก ส่งออกลดบทบาท ดร.สมประวิณกล่าวว่า สำหรับแนวทางการเพิ่มรายได้ของประเทศไทย หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวจะทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวอาจไม่ฟื้นกลับไปเท่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยส่วนหนึ่งมาจากมาตรการคุมโควิด-19 ของจีน ทั้งนี้ การท่องเที่ยวในระยะต่อไปต้องไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นเรื่องคุณภาพ โดยรูปแบบของการท่องเที่ยวในช่วงหลักจากนี้ เช่น Business Traveler
“การท่องเที่ยวในระยะต่อไปต้องไม่เน้นในเรื่องปริมาณแต่ดูเรื่องคุณภาพ นักท่องเที่ยวมาเที่ยวนานขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น ถ้าวันนี้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะเราก็รับไม่ไหวเพราะคนย้ายออกจากภาคท่องเที่ยวไปบ้างแล้ว”
นอกจากนี้ การเพิ่มรายได้จากการเพิ่มผลิตภาพในประเทศ (Productivity) เป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องทำเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเพิ่มผลิตภาพในการผลิตของประเทศอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ไทยช่วยประเทศอื่นผลิต ทำให้ปัจจุบันไม่สามารถทำเองได้ในทันที ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องเข้าไปร่วมกระบวนการผลิตใหม่
“สินค้าและบริการในอนาคตจะเปลี่ยนไป สินค้าที่เคยผลิตคือสินค้าที่เคยนิยม แต่สินค้าที่จะนิยมในอนาคตเราต้องไปร่วมสายพานการผลิตให้ดี มองในด้านร้ายคือ บุญเก่าหมดแล้ว แต่มองในด้านดีคือเป็นโอกาสของไทยเพราะยังไม่มีเจ้าใหญ่ในการผลิต ดังนั้น ไทยต้องเข้าไปร่วมให้เร็ว ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือต่อยอดอุตสาหกรรมเก่าที่เราเก่งอยู่แล้ว”
ในด้านของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในระยะสั้น หรือภายในครึ่งปี 2565 คาดว่าจะอ่อนค่าขณะที่ในระยะยาวในช่วงปลายปี 2565 คาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเนื่องจาก 1. ปัจจัยภายในจากการที่ไทยจะมีดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น 2. ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว สำหรับภาคการส่งออก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา การส่งออกเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่ในระยะข้างหน้าภาคท่องเที่ยวและบริการจะเข้ามาเป็นปัจจัยหลัก เนื่องจากการส่งออกถูกกระทบจากข้อจำกัดด้านอุปทาน (Supply Constraints) เช่น ไม่มีวัตถุดิบในการผลิตและฝั่งอุปสงค์ที่ลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา การส่งออกเป็นพระเอก แต่ในระยะข้างหน้าพระเอกจะกลายเป็นพระรองและภาคการท่องเที่ยวและบริการจะกลับมาเป็นพระเอกแทน โดยคาดว่าจะเห็นการสลับตำแหน่งระหว่างพระเอกกับพระรองได้ในครึ่งหลังของปีนี้”
ในด้านความผันผวนของตลาดทุนจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น มองว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะกระทบทำให้เกิดความผันผวน แต่จะมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากหากเกิด Recession จะทำให้คนได้รับผลกระทบมากกว่า “วันนี้ Recession ในยุโรปยังไม่เกิด แต่มีโอกาสเกิดได้ในอนาคตเนื่องจากโลกชะลอตัวลงเรื่อยๆ สงครามรัสเซียยูเครนไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจโลก Recession แต่ทำให้ยุโรป Recession ซึ่งยุโรปมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ซึ่งจะทำให้คนอื่นล้มตาม อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ การปรับตัว ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะ Recession แต่เราอาจจะรอดได้หากมีการปรับตัวที่ดี วิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาเกิดขึ้นแล้วจบแต่วิกฤติรอบนี้เป็นวิกฤติซ้อน ดังนั้น ตองปรับตัว ต้องแก้ปัญหาในระยะยาวโดยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข แต่ยังมีพื้นฐานที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ 1. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการเงินและการคลังของประเทศไทยดีมาก 2. ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและการคมนาคมขนส่งที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 3. ไทยอยู่ในภูมิภาคที่มีประเทศที่กำลังจะรวย เช่น เวียดนาม
“หลายคนมองว่าเวียดนามเป็นคู่แข่งกับเรา แต่ผมมองว่าระหว่างข้างบ้านเราจนลงเรื่อยๆ กับรวยขึ้นเรื่อยๆ เราก็ต้องอยากอยู่กับเพื่อนบ้านที่รวยเพราะว่าสภาพแวดล้อมดี แต่ที่สำคัญคือ เราจะอยู่กับเขาอย่างไร เราอยู่ไทยมองออกไปเหมือนเราแข่งกันแต่ต่างชาติเขามองว่าเราเหมือนกัน อยากให้เราร่วมกันทำงาน เพราะจะทำให้เกิดการค้าขายระหว่างกันและมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งคู่” ดร.สมประวิณกล่าวว่า ในช่วงการเกิดสงครามก็ยังมีโอกาส โดยมาจาก 2 ส่วนได้แก่ 1.โอกาสที่ทำให้ได้มองเรื่องพลังงานและความมั่นคงทางอาหาร 2.ทำให้รู้ว่าไทยต้องเข้าไปมีส่วนร่วมใน Supple Chain โดยอาจค้าขายกับกลุ่มประเทศที่ไม่ได้อยู่กับฝั่งตะวันตกหรือตะวันออกอย่างชัดเจน เช่น ค้าขายกันเองในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทและความสำคัญในภูมิภาค ทั้งนี้ ต้องมีการผลักดันความร่วมมือในระดับอาเซียนที่ชัดเจน
“ไม่อยากให้มองว่าโลกนี้มันดำมืด ตอนโควิดเราก็คิดว่าเป็นวิกฤติแต่ก็เป็นโอกาสที่ทำให้ราคายางที่เคยตกต่ำสูงขึ้น ประเทศไทยมีการพัฒนาเรื่อง Digital มากขึ้น ในช่วงตอนนี้ที่เป็นเรื่องของสงครามก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม โลกหลังจากนี้จะมีความ Disruptive และ Uncertain ดังนั้น ถามว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไรให้ Keywords ไว้ 3 คำคือ ต้องคิดเผื่อ ยืดหยุ่น และปรับตัว”
กรุงไทย มองโจทย์ Policy Mistake มีสูงขึ้น
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “การเงินธนาคาร” ว่า เราอยู่ในช่วงที่วงจรเศรษฐกิจ (Business Cycle) ของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันมาก ในฝั่งสหรัฐฯ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากผลของโควิด-19 เรียกได้ว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว และอยู่ในภาวะที่ร้อนแรง (Overheat) ไปแล้วด้วยซ้ำ ด้วยความผิดพลาดของนโยบายการเงินในปี 2564 ที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ 0% นานเกินไป
ในอีกฝั่งคือประเทศที่ยังคงอยู่ภายใต้ผลกระทบจากโควิด-19 หรือเพิ่งเริ่มก้าวแรกเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ ประเทศจีนทุกวันนี้ยังคงจัดการกับการระบาดของโควิด-19 ด้วยการหยุดการเคลื่อนที่ของประชากร (Lockdown) ประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน
ซึ่งแม้จะไม่ได้มีมาตรการคุมเข้มแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวยังคงห่างไกลจากภาวะปกติ และคาดการณ์ว่าระดับของ GDP ปี 2565 นี้จะยังต่ำกว่าระดับของ GDP ปี 2562 ด้วย Business Cycle ที่ต่างกัน
นโยบายเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ที่ตอบโจทย์ภายในจะไม่ตอบโจทย์โลก การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วยความเร่งรีบของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปี 2565 เพื่อสกัดกั้นปัญหาเงินเฟ้อที่กำลังบานปลาย กลายเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของประเทศอื่นไปโดยปริยาย ธนาคารกลางในหลายประเทศต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกในภาวะที่เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ได้ฟื้นตัวมากนักและเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นมีเหตุมาจากต้นทุน (Cost Push) โดยเฉพาะจากราคาพลังงานที่เป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ไม่ใช่จากอุปสงค์ (Demand Pull) เหมือนอย่างสหรัฐฯ ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นอย่างฉับพลันเป็นของแสลงสำหรับประเทศ Emerging Markets ที่ฐานะการเงินไม่ดีนัก บางประเทศประสบภาวะข้าวยากหมากแพงในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจไม่สามารถตอบสนองได้ ความเสี่ยงจากความผิดพลาดด้านนโยบาย (Policy Mistake) มีสูง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การกำหนดนโยบายในการต่อกรกับโรคระบาดอย่างโควิด-19 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือว่าเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงจากความผิดพลาดด้านนโยบายสูง แต่ในระยะข้างหน้าการกำหนดนโยบายในการต่อกรกับปัญหาด้านเศรษฐกิจมหภาคเดิมๆ อย่าง เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะลอตัว ก็ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงด้านนี้
ประการแรก Policy Mistake ของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเกิดได้ทั้งกรณีที่คุมเงินเฟ้อไม่อยู่ หรือกรณีที่ขึ้นดอกเบี้ยมากหรือเร็วเกินไป มีข้อสังเกตว่า ด้วยเงินเฟ้อทั่วไปในระดับราว 8% และเงินเฟ้อที่ไม่รวมอาหารและพลังงานในระดับราว 6% มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่สหรัฐฯ เผชิญในช่วงปี 2513 โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนั้นขึ้นไปสูงถึงระดับราว 6% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของคณะกรรมการ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าค่อนข้างมาก
ประการที่สอง Policy Mistake ในการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หากไม่ได้มองแค่ผลกระทบเฉพาะหน้าความขัดแย้ง และสงครามที่เกิดขึ้น อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะมีผลกระทบต่อระยะยาวได้หากจัดการนโยบายได้ไม่ดี
นอกจากนี้ นักประวัติศาตร์ที่มีชื่อเสี่ยงอย่าง Yuval Noah Harari ประเมินว่าการที่มหาอำนาจ Decoupling กันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะทำให้การหาข้อตกลงร่วมกันในเรื่องสำคัญๆ เช่น การ Regulate AI หรือการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นไปได้ยากมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อโลกในระยะยาว
ประการที่สาม Policy Mistake ของทางการจีนในการจัดการกับโควิด-19 ด้วยนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid Policy) แนวทางของทางการจีนได้ทำให้เศรษฐกิจสะดุดและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ที่น่ากังวลคือความเป็นไปได้ของนโยบายในการอยู่กับโควิดไปในระยะยาว เพราะหากเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ ประเทศอื่นๆ ที่พึ่งพากำลังซื้อจากชาวจีนก็คงพบความยากลำบากในการฟื้นตัวเช่นกัน กรณีของประเทศไทยชัดเจนมากว่าหากนักท่องเที่ยวจากจีนราว 10 ล้านคนต่อปีที่เคยมาเที่ยวไทยไม่สามารถมาได้ ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นในการกลับมาสู่จุดที่เฟื่องฟูเหมือนเดิม สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ แต่ไทยยังพอมีแรง
ดร.พชรพจน์เผยอีกว่า สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทยสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ แต่ไทยยังพอมีแรง ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ระดับ 3% ในปี 2565 และจะเร่งตัวขึ้นเป็น 5.1% ในปี 2566 โดยเศรษฐกิจไทยจะกลับมายืนเท่ากับระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2566 ซึ่งช้ากว่าหลายๆ ประเทศ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าภาคเอกชนจะเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุที่ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเต็มไปด้วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงแรงงานอีกจำนวนมาก กำลังฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากที่ทางการได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แนวโน้มรายได้ในส่วนนี้กำลังดีขึ้น ซึ่งในครึ่งหลังของปีนี้อาจเพิ่มขึ้นถึง 2-3 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะกลับมาที่ราว 6 ล้านคนในปีนี้ หรือ 15% ของภาวะปกติ และเพิ่มเป็นราว 20 ล้านคนหรือ 50% ของภาวะปกติในปีหน้า
“พลังงานแพง เงินเฟ้อสูง ยังไม่มีแนวโน้มผ่อนคลาย สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับกลุ่มประเทศนาโต (NATO) และการแบ่งออกเป็น 2 ขั้วของเศรษฐกิจโลกจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาพลังงานยืนอยู่ในระดับสูงได้เป็นเวลานาน”
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะพุ่งสูงขึ้นจากระดับ 1.2% ในปีที่ผ่านมาเป็นระดับ 5-6% ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ที่สำคัญคือ ด้วยแนวโน้มราคาเช่นนี้ การที่รัฐจะสามารถตรึงราคาไว้ได้ตลอดไปคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ประชาชนต้องปรับตัวและเผื่องบประมาณไว้มากขึ้นสำหรับค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและสาธารณูปโภค
ทั้งนี้ ดอกเบี้ยขาขึ้นกำลังจะเริ่มต้น ณ เดือนมิถุนายน ของปี 2565 risk-reward ของนโยบายการเงินไทยเริ่มเปลี่ยนไป โดย Risk ของการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อไปสูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 2565 สูงกว่ากรอบเงินเฟ้อสำหรับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากกว่าคาดการณ์เดิม ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว ส่วน Bond Yield ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Reward ของการคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปลดลง เพราะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้น
“คาดว่า ธปท.จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปี 2565 เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของการดำเนินนโยบายการเงินแบบมีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ และลดความเสี่ยงการเกิด Policy Mistake เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ โดยจะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเท่านั้น สำหรับปี 2566 คาดว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะมีกำลังมากขึ้น ส่งให้ GDP โตได้ระดับ 5.1% และสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง”
ส่วนเงินบาทอ่อนค่าในระยะสั้น แต่ระยะยาวยังอาจกลับมาแข็งค่าได้ การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเทียบกับทุกสกุลเงินตามทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา อาจไม่ได้แปลว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ในระยะข้างหน้า ในช่วงปี 2559-2562 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย-สหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าเงินบาทไม่ได้มีการอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2555-2558 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงจากการลดดอกเบี้ยของไทย และค่าเงินบาทอ่อนค่าจาก 30 เป็น 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยประมาณ ขณะที่ช่วงปี 2559-2562 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แต่เงินบาทกลับแข็งค่าจาก 36 เป็น 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยประมาณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ประเมินว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าในระยะสั้นในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่แนวโน้มการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะถัดไปจะเป็นปัจจัยที่หนุนค่าเงินบาทไม่ให้อ่อนค่าไปกว่านี้
ดร.พชรพจน์กล่าวอีกว่า สำหรับภาคธุรกิจโจทย์สำคัญคือการประคองผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน ให้ความสำคัญกับการบริหารสภาพคล่องและบริหารต้นทุน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อและปัญหาห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก รวมถึงต้นทุนทางการเงินตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาดเงินตลาดทุนสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ควรลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) ทำประกันค่าเงิน (Options) และใช้บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) ซึ่ง ธปท.ได้ผ่อนคลายเกณฑ์การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ภายใต้แผนผลักดันระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX Ecosystem) นอกจากนี้ ต้องเกาะติด Mega Trend ต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสและใช้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนของหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน KResearch มองโจทย์นโยบายการเงิน หา Soft Landing เลี่ยงถดถอย
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผย “การเงินธนาคาร” ว่า หลังจากวิกฤติโควิดที่ต่อด้วยวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ภาพเศรษฐกิจแต่ละประเทศในโลก แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอนสูงเหมือนๆ กัน แต่ก็มีเหตุนำ โจทย์เฉพาะหน้า และระดับความรุนแรงของโจทย์เฉพาะหน้าที่แตกต่างกัน จึงทำให้ระยะของวัฏจักรเศรษฐกิจแตกต่างกันไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัว พร้อมกับสัญญาณที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงาน เพราะผลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากก่อนหน้านี้ จึงทำให้ต้องเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อทั้งจากปัจจัยฝั่งอุปสงค์และอุปทาน โดยเฉพาะราคาพลังงานจากปัญหารัสเซีย
ดังนั้น โจทย์เฉพาะหน้าจึงเป็นเรื่องการถอยออกจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆ กับปรับลดงบดุลอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจ Soft Landing และหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ ส่วนเศรษฐกิจจีน ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจมาจากนโยบาย Zero-Covid ที่กระทบ Supply Chain และภาวะขาดแคลนอาหารและของจำเป็นชั่วคราวในบางเมือง ซึ่งเมื่อยกเลิกนโยบายและรัฐบาลกลางกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เศรษฐกิจคงฟื้นตัวขึ้นได้
ขณะที่ ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ดูจะซับซ้อนกว่า เพราะหลายประเทศพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและมีการนำเข้าพลังงานในสัดส่วนไม่น้อย จึงทำให้เผชิญทั้งโจทย์การฟื้นตัวของรายได้ที่กลับมาช้า แต่ต้นทุนและค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น และผลกระทบจากค่าเงินที่อ่อนค่าลงมาก ซึ่งกลับมาซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อให้แย่ลงอีก ท่ามกลางภาวะที่รัฐบาลเหลือกระสุนด้านงบประมาณในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จำกัดมากขึ้นกว่าเดิมมาก จนลากมาสู่ความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (กรณีเกาหลีใต้และมาเลเซีย) เพื่อดูแลความเสี่ยงเงินเฟ้อ และปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง (ดังเช่นกรณีศรีลังกา) ทั้งนี้ กรณีของไทย ก็ไม่หนีภาพที่เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่เผชิญเช่นกัน โดยในปี 2565 นี้ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น โดยอาจมีค่าเฉลี่ยทั้งปีไม่น้อยกว่า 6.0% คงเป็นความท้าทายหลักของการผลักดันการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและลงทุนในช่วงระหว่างปี แม้ว่ากลจักรด้านการท่องเที่ยวคงจะทยอยฟื้นตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.0-7.4 ล้านคนก็ตาม
สำหรับผลต่อระบบการเงินนั้น หลักๆ จะอยู่ที่ผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ปรับขึ้นอย่างมากนับจากสิ้นปีก่อนหน้า โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยประเภทอายุ 5 ปี และ 10 ปี ในปัจจุบัน (ณ วันที่ 23 มิ.ย. 2565) เพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 119 Basis Points มาอยู่ที่ 2.47% และ 103 Basis Points มาอยู่ที่ 2.93% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังมีการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งหากไม่นับเงินกีบของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรูปีของศรีลังกานั้น เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินในภูมิภาค นั่นคือ อ่อนค่าลงแล้วประมาณ 6.0% “ขณะที่ ฝั่งธนาคารพาณิชย์ แม้หนี้ที่เข้ามาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้น โดยลดจำนวนลงจาก 2.03 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 มาอยู่ที่ 1.88 ล้านบาทในเดือน มี.ค. 2565 แต่ก็ยังมีความจำเป็นในการประคองลูกค้าและปรับโครงสร้างหนี้ต่อเนื่อง ตราบใดที่ธุรกิจฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และยังมีปัญหาต้นทุนการผลิตและต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มไต่ระดับไล่หลังมา” 4 จุดที่ต้องจับตาและปัญหาเชิงโครงสร้าง
นางสาวธัญญลักษณ์ ระบุอีกว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองจุดจับตาใน 4 เรื่องหลัก คือ
- เงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูงในอีกหลายเดือนข้างหน้า เนื่องจากสถานการณ์ที่เป็นชนวนหลักอย่างเช่น ภาวะห่วงโซ่อุปทานคอขวด ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์แพง จากปัญหารัสเซีย-ยูเครนและโควิดที่ยังไม่คลี่คลาย ขณะที่ต่อภาพออกไปในปี 2566 สถานการณ์เงินเฟ้อแม้คงไม่เพิ่มขึ้นแรงเหมือนในปี 2565 แต่ก็น่าจะยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งอุปทานข้างต้นที่มีโอกาสยืดเยื้อออกไป และประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงที่รออยู่
- ต้นทุนทางการเงินยังขยับขึ้นต่อ โดยในกรณีของไทย อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงเริ่มทยอยปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ต่อเนื่องไปถึงปี 2566 โดยเฉพาะหากกิจกรรมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณชัดเจนขึ้นตามการกลับมาของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งทำให้แม้อัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้จะรับข่าวไปมากแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อเช่นกัน
- เงินบาทคงเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่า ในอีกหลายเดือนข้างหน้าโดยคงแตะระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2565 นี้ ท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลออก ในจังหวะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯและไทยยังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์การอ่อนค่าของสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ที่จะซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้น และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายประเทศที่เพิ่มขึ้น ดังตัวอย่างของประเทศศรีลังกา
ขณะเดียวกัน ก็ยังจะกลับมากดดันเงินบาทเพิ่มเติมอีกด้วย ขณะที่ ปลายปี คาดหวังแรงส่งจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่จะหน่วยหนุนดุลบัญชีเดินสะพัดและค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น รวมถึงท่าทีนโยบายดอกเบี้ยของ ธปท.
- ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession)ที่อาจเพิ่มขึ้นภายใน 1-2 ปีนี้ โดยอาจเริ่มจากการถดถอยเชิงเทคนิคในบางประเทศ ก่อนที่ระดับการถดถอยอาจยาวนานขึ้นหากมีส่วนผสมจากทั้งปัจจัยสินค้าแพง ดอกเบี้ยขึ้น และ/หรือความขัดแย้งทางการเมือง
“หากต่อภาพไปในระยะปานกลาง ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง คงกดดันภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยให้อยู่ในอัตราที่ไม่สูงเหมือนในอดีตและมีการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง” โดยปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะในระดับสูง ปัญหาขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ บนบริบทของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค สังคมสูงอายุ และสิ่งแวดล้อม
ขณะที่สำหรับโลกการเงินนั้น การเปลี่ยนแปลงที่ไม่นานเกินรอ คงอยู่ที่เงินดิจิทัลที่พัฒนาโดยธนาคารกลาง รวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินบนโลกของแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะจากผู้เล่นที่เป็นธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ หรือ Virtual Bank ซึ่งคงเปลี่ยนรูปแบบการลงทุน การทำธุรกรรม และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไปจากเดิม
ทั้งนี้ ในปีนี้และปีหน้า ผู้ประกอบการควรวางแผนและทางออกของธุรกิจไว้หลายกรณี (Scenario) โดยแม้ว่าการรับมือด้วยการประหยัดต้นทุนคงเป็นทางเลือกที่ได้ดำเนินการมาหลายปีแล้วในช่วงระหว่างมีสถานการณ์การระบาดของโควิด แต่ก็คงต้องทำต่อเนื่อง ถัดไปยังคงเป็นเรื่องการเตรียมสภาพคล่องทางธุรกิจรองรับสถานการณ์ไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่ จากนั้นควรมองทางเลือกในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริการ รวมถึงสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ เจาะตลาดใหม่ๆ เพื่อให้ประคองหรือเพิ่มมาร์จิ้นได้
ซึ่งเงื่อนไขเศรษฐกิจที่ไม่ได้ซบเซามากเหมือนในปีก่อนหน้าและสภาพคล่องของสถาบันการเงินที่อยู่ในระดับสูง คงทำให้สถาบันการเงินเตรียมพร้อมรองรับความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่สำหรับธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าหรือยังประสบปัญหาทางการเงิน ก็ยังสามารถขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ได้ ซึ่งเงื่อนไขจะถูกปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย แม้ว่าอาจไม่มีโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินในลักษณะภาพรวมออกมาใหม่แล้วก็ตาม
ส่วนนักลงทุน กลยุทธ์การลงทุนในภาวะที่แม้เศรษฐกิจจะสะท้อนตัวเลขที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยลบและเงินเฟ้อยังคงค้างคาอยู่ในระดับสูงนั้น คงต้องเน้นกระจายพอร์ตการลงทุน (Diversified Portfolio) ไปยังหลายสินทรัพย์ (เช่น อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ศักยภาพเพื่อรายได้ค่าเช่าจากสัญญาใหม่ที่มีโอกาสปรับค่าเช่าขึ้นตามเงินเฟ้อ กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีกลไกการรับรู้ราคาตามสัญญาเดือนใกล้ หรือตราสารหนี้ที่ราคาปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว เป็นต้น) มากกว่าการเทน้ำหนักไปที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งชัดเจน
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างเช่นสินทรัพย์ดิจิทัล ควรศึกษาข้อมูลเฉพาะของสินทรัพย์ประกอบ มากกว่าการซื้อตามกระแสและคาดหวังผลกำไรระยะสั้น เพราะอาจทำให้บาดเจ็บหนักในภาวะที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงต่อเนื่องในอีก 6-12 เดือนข้างหน้านี้ ธปท.ถอดรหัสโลกยุค Deglobalization บทบาทของดอลลาร์อาจลดลง
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย “การเงินธนาคาร” ว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงและยืดเยื้อมากขึ้น เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมัน ขณะที่ยูเครนเป็นผู้ผลิตอาหารที่สำคัญ เช่น ข้าวสาลี และ ข้าวโพด ดังนั้น เมื่อสองประเทศนี้ขัดแย้งกันจึงทำให้ปัญหา Supply Chain รุนแรงมากขึ้นและกระทบทำให้เกิดเงินเฟ้อ
ดังนั้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นธนาคารกลางหลัก จึงได้เปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน ทำให้เศรษฐกิจการค้าของโลกชะลอ และส่งผลให้มีความผันผวนในตลาดการเงิน
“สิ่งที่ได้รับผลกระทบจากสงครามคือราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาพลังงาน ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อที่สูงและค่อนข้างยืดเยื้อแล้วไปกระทบกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของโลกไม่ว่าจะเป็น IMF หรือ World Bank ต่างก็มองว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว”
นางสาวดารณีกล่าวว่า ในระยะสั้นความท้าทายของธนาคารกลางเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจการค้าโลกคือการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงควบคุมแรงกดดันด้านราคา ในขณะที่ยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ให้ได้ “Challenge ของธนาคารกลางถ้ามองในระยะสั้นคือ ทำอย่างไรที่เราจะควบคุมแรงกดดันด้านราคาไปพร้อมกับการรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่เฉพาะแบงก์ชาติไทย แต่เป็นความท้าทายของแบงก์ชาติทั่วโลก ถ้าเราดูสหรัฐฯตอนนี้เงินเฟ้อสูงมากจนต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่พอขึ้นดอกเบี้ยก็มีประเด็นว่าเศรษฐกิจจะเข้า Recession ดังนั้น ต้อง Balance ให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดแรงกดดันด้านราคาต่อเนื่องและเกิดเป็นเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่อยู่”
ในระยะยาวหากยังมี Shock ที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะสงครามยืดเยื้อออกไป ตลอดจนการปรับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางของโลกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็ว จะส่งกระทบต่อประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินที่จะมีความผันผวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเงินบาทในช่วงนี้ไม่ได้สูงกว่าความผันผวนในช่วงที่เกิดวิกฤติในรอบที่ผ่านมา “เราเห็นว่าค่าเงินในกลุ่ม Emerging Market จะไปในทิศทางที่อ่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ยเร็วจึงส่งผลต่อค่าเงินตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด โดยค่าเงินบาทก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน”
นางสาวดารณีกล่าวว่า จากสถานการณ์ความผันผวนของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะส่งผลให้การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) จะมีความเข้มข้นมากขึ้นและทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยประเทศต่างๆ จะหันมาพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นและกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตและขายสินค้าโดยไม่พึ่งพาแต่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น เพื่อลดความผันผวนจากภายนอก “Shock ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เทรนด์ตอนนี้เป็นการ Reverse จาก Globalization ที่อยู่ยาวมา 20-30 ปีเปลี่ยนเป็น Deglobalization ตอนนี้คนอาจจะให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน ทางอาหาร มากขึ้น หรืออาจจะเกิด Regionalization หรือการค้ากันเองในภูมิภาค”
สำหรับประเทศไทยในส่วนของการค้ากันเองในภูมิภาคได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน RCEP หรือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement - FTA) ฉบับที่ 14 ของไทย โดยมีสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์
ขณะที่ในด้านการเงิน ธปท.ได้สนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) เพื่อลดการพึ่งพาการใช้เงินดอลลาร์ที่มีความผันผวนสูง ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้สกุลเงินท้องถิ่นระหว่างเงินบาทกับประเทศคู่ค้าเพิ่มมากขึ้นโดยพบว่าการใช้เงินหยวนของจีนเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2558 เป็น 11% ในปี 2564 เงินริงกิตของมาเลเซียเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 16% เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 16% เป็นต้น “การใช้เงินสกุลท้องถิ่นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นบ้างเนื่องจากเราทำให้ตลาดมีสภาพคล่องมากขึ้น การทำธุรกรรมจึงถูกลง ทำให้มีการทำธุรกรรมมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่ายังไม่ได้เป็นสัดส่วนที่ใหญ่ และถ้าเราดูของโลกก็คล้ายๆ กันคือค่อยๆ เพิ่ม เนื่องจากคนคุ้นเคยกับดอลลาร์”
นางสาวดารณีกล่าวว่า จากการที่โลกการเงินเปลี่ยนไปตามโลกการค้าที่เปลี่ยนไปประเทศต่างๆ เริ่มถือครองเงินสำรองระหว่างประเทศในสกุลดอลลาร์ลดลง โดยพบว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การถือครองเงินสำรองระหว่างประเทศโดยรวมสัดส่วนเงินดอลลาร์ปรับลดลงประมาณ 10% โดยมีการกระจายสัดส่วนเพิ่มในสกุลเงินหลักอื่น ๆ
“เงินดอลลาร์ยืนหนึ่งในการเป็น Reserve Currency มานาน ถามว่าสงครามจะทำให้เขาลดการเป็นที่หนึ่งได้ไหมก็เป็นเทรนด์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมานานแล้ว โดยหากดูข้อมูล International Reserves ของโลกพบว่า 20 ปีที่แล้วดอลลาร์เป็นสัดส่วนประมาน 70% ตอนนี้อยู่ที่ประมาน 60% ลดลงมา 10% โดยมีหลาย Currency ที่เข้ามาแทน เช่นจีนมาแทนประมาน 2.5% ของ 10% ที่ลดลงมา” อย่างไรก็ตาม คาดว่าดอลลาร์จะยังเป็นเงินสกุลหลักไปอีกระยะ เนื่องจากการเปลี่ยนเงินสกุลหลักจะเป็นลักษณะของการค่อยๆ เปลี่ยน โดยต้องเป็นสกุลเงินที่แลกเปลี่ยนได้ง่าย ไม่มีกฎเกณฑ์ในการแลกเปลี่ยนมากและต้องการตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูง (deep and liquid)
“ถ้าเราดูประวัติศาสตร์จริงๆ การเปลี่ยนสกุลเงินหลักของโลกเคยเปลี่ยนแค่ครั้งเดียว คือการเปลี่ยนจากเงินปอนด์เป็นดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบันตลาดดอลลาร์เป็นตลาดที่ใหญ่ เข้าถึงง่าย และคนมั่นใจเชื่อถือในการลงทุน ดังนั้น การเปลี่ยนเงินสกุลหลักของโลกจะเป็นลักษณะของการค่อยๆ เปลี่ยน ไม่ใช่เปลี่ยนเแค่เพราะเรื่องของสงคราม แต่สงครามเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้รู้ว่าโลกในอนาคตจะผันผวนและมีสิ่งที่เราไม่คาดคิดเยอะมาก” มองค่าเงินยังผันผวนต่อเนื่อง แนะผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยง
นางสาวดารณีกล่าวว่า ในระยะข้างหน้าตลาดการเงินจะยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยการดูแลความผันผวนของค่าเงินหากผันผวนจากปัจจัยภายนอก และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสกุลเงินภูมิภาค ธปท.จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตาม หากพบความผันผวนที่ผิดปกติ ธปท.พร้อมเข้าไปดูแลใกล้ชิด “ธปท.จะเข้าไปดูแลค่าเงิน กรณีที่มีความผันผวนมากผิดปกติ แต่ถ้าเป็นความผันผวนที่อธิบายได้ เช่น มีปัจจัยที่เข้ามากระทบ หรือเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินของภูมิภาค ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากที่สุด เพราะหากเราไปตรึงค่าเงินแล้วเศรษฐกิจการเงินมันเปลี่ยนไปจะทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมไม่เป็นจริงแล้วอาจทำให้เกิดการไปลงทุนเกินตัว ดังนั้น หลักของ ธปท. เป็นเรื่องการปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดมากกว่ายกเว้นว่ามีความผิดปกติจะเข้าไปดูแล”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน ธปท.ได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง โดย ธปท.ต้องการให้ผู้ประกอบการมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมทางการเงินกับต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในสัดส่วนไม่สูงนัก โดยค่าเฉลี่ยในปี 2559-2563 ผู้ประกอบการส่งออกมีการป้องกันความเสี่ยงเฉลี่ยอยู่ที่ 19% และในปี 2564 เพิ่มเป็น 30% ขณะที่ผู้ประกอบการนำเข้ามีการป้องกันความเสี่ยงในปี 2559-2563 เฉลี่ย 24% และในปี 2563 อยู่ที่ 23%
“ตั้งแต่ที่ ธปท. เริ่มสนับสนุนให้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนพบว่าผู้ประกอบการมีการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นบ้างแต่บางส่วนอาจจะเพิ่มขึ้นจากการดูทิศทางค่าเงินแล้วค่อยป้องกันความเสี่ยงแต่เราอยากสนับสนุนให้ภาคธุรกิจมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงสม่ำเสมอไม่ขึ้นกับทิศทางค่าเงิน
นางสาวดารณีกล่าวว่า โจทย์ของ ธปท. คือ ต้องทำให้ผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงมากขึ้นด้วยการทำระบบนิเวศให้เอื้อ ทำให้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงถูกลง ธปท. จึงกำหนดแนวทางการผลักดัน FX Ecosystem แบบบูรณาการ 4 ด้าน ได้แก่ 1. การส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศ (FX investment ecosystem) 2. การปรับหลักเกณฑ์ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX regulatory framework) ให้สมดุลขึ้นและสอดคล้องกับบริบทด้านเศรษฐกิจและตลาดการเงิน 3. การปรับภูมิทัศน์การแข่งขันของผู้ให้บริการธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX service provider landscape) และ 4. การยกระดับการติดตามข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายเพื่อดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX surveillance and management)
“เป็นโจทย์ของ ธปท. เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยง โดยเราต้องทำระบบนิเวศให้เอื้อ ให้เข้าถึงได้ง่าย ให้ต้นทุนถูก ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากภาคสถาบันการเงินและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ธปท. ยังมีแนวทางในการขยาย Service Provider เพื่อให้ผู้ประกอบการมีช่องทางในการบริหารความเสี่ยงได้มากขึ้นในต้นทุนที่ถูกลง”
ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้สะดวกขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 65 ผ่อนคลายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX regulatory framework) ได้แก่
1.โอนเงินตราต่างประเทศ (FX) ออกไปยังต่างประเทศได้เสรีขึ้น และชำระ FX ในประเทศได้ตามความจำเป็น โดย
(1) ให้สามารถโอน FX ออกไปต่างประเทศได้ตามภาระที่มี ยกเว้นเพียงธุรกรรมที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพการเงินอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การชำระค่าสินทรัพย์ดิจิทัล การส่ง FX ออกไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินบาทกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ (THB offshore)
(2) ยกเลิกการมีวงเงินโอน FX ออก โดยให้เหลือเฉพาะวงเงินของการส่งเงินให้เปล่าแก่บุคคลในต่างประเทศได้ไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์ สรอ. ต่อปี และ
(3) นิติบุคคลสามารถซื้อ FX เพื่อชำระในประเทศได้ตามความจำเป็น โดยไม่ต้องขออนุญาต เช่น การชำระค่าสินค้าบริการในประเทศเป็น FX เพราะต้องอ้างอิงราคาตลาดโลก (เช่น น้ำมัน)
- ขยายขอบเขตการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนให้กว้างขึ้น โดยผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีความเสี่ยงจากการมีรายรับรายจ่ายสกุลFX กับต่างประเทศโดยตรงเท่านั้น แต่สามารถรวมความเสี่ยง FX อื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางตรงได้ด้วย
- ไม่ต้องแสดงเอกสารการทำธุรกรรมFX หากธนาคารเข้าใจลักษณะธุรกิจและความเสี่ยง FX ของลูกค้าอยู่แล้ว เช่น กลุ่มที่มีวงเงิน FX หรือมีธุรกรรมต่างๆ กับธนาคารอยู่แล้ว “ความผันผวนของค่าเงินคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไปแต่เป็นความเสี่ยงที่สามารถบริหารจัดการได้ ปิดความเสี่ยงป้องกันความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ระยะยาวจะเป็นภาวะที่มีความไม่แน่นอนเราต้องทำตัวเราเองให้มีภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเพื่อที่จะฟื้นตัวได้เร็วได้ เช่น การให้ความสำคัญกับ Climate Change การใช้ประโยชน์จาก Digital โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นมีทั้งเรื่องระยะสั้นที่ต้องบริหารจัดการและเรื่องระยะยาวที่ต้องทำให้ระบบนิเวศและให้โครงสร้างเศรษฐกิจแข็งแกร่งทนทานและยืดหยุ่นพอที่จะรับกับความไม่แน่นอนได้” นางสาวดารณี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นระบบการเงินของไทยมียังมีเสถียรภาพสามารถรองรับความผันผวนได้ สะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ
“เสถียรภาพต่างประเทศของไทยแข็งแกร่งมากเพราะเงินสำรองระหว่างประเทศของเราอยู่ในระดับสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลกในเชิงมูลค่าและอันดับที่ 5 ของโลกเมื่อเทียบกับ GDP”
New World Monetary Order
“ระเบียบการเงินโลกใหม่”
อดีตเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ Zoltan Pozsar ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งนักกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคาร Credit Suisse ได้แสดงความคิดเห็นว่า สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤติสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดระเบียบการเงินโลกใหม่ หรือ New World Monetary Order โดยระบบการเงินที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนแอลง รวมถึง การนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในกลุ่มประเทศตะวันตก
วิกฤติการเงินรอบนี้ จะแตกต่างจากที่เคยปรากฏมาแล้วในอดีต นับตั้งแต่ประธานาธิบดี Richard Nixon แห่งสหรัฐฯ ได้นำเงินดอลลาร์ออกจากระบบทองคำในปี 1971
ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะสิ้นสุดลง นานาชาติรวม 44 ประเทศ ได้ทำข้อตกลงที่เรียกว่า “Bretton Woods” ซึ่งตั้งชื่อตามสถานที่จัดการประชุมใน Bretton Woods รัฐนิวแฮมเชียร์ สหรัฐอเมริกา โดยข้อตกลงได้ระบุให้เงินดอลลาร์ตรึงค่าไว้กับทองคำ และสกุลเงินสำคัญอื่นๆ ตรึงค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ต่อมาในปี 1960 สหรัฐฯประสบปัญหาการขาดดุลการค้ามหาศาล ทำให้สหรัฐฯจำเป็นต้องยกเลิกระบบการตรึงค่าเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำอย่างสิ้นเชิงในปี 1971
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ในยุค Bretton Woods ช่วงแรก (1944-1971) เงินดอลลาร์จะตรึงค่าไว้กับทองคำเป็นสำคัญ ต่อมาในยุค Bretton Woods ช่วงที่ 2 (1971-ปัจจุบัน) เงินดอลลาร์จะหนุนด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลสหรัฐฯเป็นสำคัญ (Inside Money) ทั้งนี้ นาย Pozsar ชี้ว่าในยุค Bretton Woods รอบที่ 3 ที่เขาคาดว่าอาจจะเกิดขึ้น โดยเงินดอลลาร์จะหนุนด้วยทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ (Outside Money)
Pozsar ให้ข้อสังเกตว่า การสิ้นสุดลงของระบบการเงินปัจจุบัน เป็นผลมาจากการที่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ (G7) ได้ดำเนินมาตรการลงโทษรัสเซียที่บุกยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย G7 ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจรัสเซีย รวมถึงการยึดทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของรัสเซียเกือบทั้งหมด ส่งผลให้ประชาคมโลกตระหนักว่า สิ่งที่ปราศจากความเสี่ยง อาจไม่มีจริง และความเสี่ยงที่แท้จริง ก็คือ การยึดสินทรัพย์ทันที
สถานการณ์ที่อุบัติขึ้นในกรณีรัสเซีย นาย Pozsar มองว่าน่าจะทำให้ธนาคารกลางจีน (the People’s Bank of China: PBOC) เผชิญกับทางเลือก 2 ทาง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศจีน หากเกิดความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตก
ประการแรกก็คือ การที่แบงก์ชาติจีนขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่แบงก์ชาติจีนถือครองอยู่ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ โดยนำไปซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ของรัสเซีย
ประการที่ 2 ก็คือ ธนาคารกลางจีน ใช้มาตรการผ่อนปรนมาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ หรือ QE ด้วยการพิมพ์เงินหยวน เพื่อมาซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ของรัสเซีย ซึ่งทั้งสองมาตรการจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศตะวันตกสูงขึ้น
Pozsar ยังได้ทิ้งทายด้วยว่า สกุลเงินดิจิทัล Bitcoin อาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ข้างต้น หากสกุลเหล่านั้นยังสามารถฝ่าวิกฤติรอบนี้ได้สำเร็จ