ห้องเม่าปีกเหล็ก

สถิติหุ้นไทย เดือน พ.ค.

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
81 views

สถิติ 10 ปีหลัง ชี้เดือน พ.ค.หุ้นไทยให้ผลตอบแทนน้อยสุด

บล.กสิกรฯ เปิดเผยสถิติ 10 ปีหลังเดือน พ.ค.หุ้นไทยให้ผลตอบแทนน้อยสุด ประเมินรายกลุ่มคาดหุ้นพลังงานติดลบมากสุด ส่วนก่อสร้างคาดสดใสโดนผลกระทบโควิด-19 จำกัด และเดือน พ.ค.อาจเห็นรายละเอียดขายซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา

บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS เปิดเผย ว่า หากนับจากช่วงต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พบว่า SET ปรับตัวขึ้นมากกว่า 13% สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค (อินโดนีเซีย -0.2%, ฟิลิปปินส์ +4.8%, MSCI-EM +6.4%, MSCI-World +9.2%) เป็นผลมาจากการมาตรฐานการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ดี ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค ทำให้เริ่มเห็นแรงเก็งกำไรในกลุ่มที่คาดได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง โดยหุ้นที่ผลักดัน SET ขึ้นมาในรอบนี้หนีไม่พ้น AOT, CPALL, AWC, CRC และกลุ่มพลังงาน 

ขณะเดียวกัน จากสถิติ 10 ปีที่ผ่านมาในช่วงเดือน พ.ค. พบว่าเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนอื่น ๆ โดยเฉลี่ย SET ติดลบ 2% (สถิติ 30ปี SET -1.3%) และหากประเมินรายกลุ่ม บล.กสิกรฯ พบว่ากลุ่มที่ติดลบมากที่สุดได้แก่กลุ่มพลังงาน (-3.8%), กลุ่มธนาคาร (-2.85%), กลุ่มอสังหาฯ (-1.58%), กลุ่ม ICT (-1.04%) และมีเพียง 2 กลุ่มที่บวกนั่นคือกลุ่มก่อสร้าง (+4.1%) และกลุ่มค้าปลีก (+0.3%) 

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บล.กสิกรฯ มีมุมมอง “Sell in May” สอดคล้องกับสถิติดังกล่าว คือหากประเมินรายกลุ่มในเดือนพ.ค.นี้เชิง Bottom-up พบปัจจัยสำคัญ ดังนี้

1) ภายหลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 คาดเห็นการปรับสมมติฐานค่าการกลั่นและราคาน้ำมันดิบลง ส่งผลกระทบต่อกำไรกลุ่มพลังงานเบื้องต้นประมาณ 10-15% 

2) กลุ่มธนาคาร คาดผลประกอบการไตรมาส 2/2563 ลดลงจากทั้ง NIM ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลงของดอกเบี้ยเงินกู้ 40bps , การตั้งสำรองที่คาดเพิ่มขึ้น และ NPL ซึ่งคาดจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว 

3) กลุ่ม ICT คาดเห็นการปรับลดประมาณการกำไรในเดือนพ.ค.และผลกระทบจากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส2/2563 ที่คาดหดตัวระดับ 15-20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจและโครงการมอบสิทธิ์โทรฟรี 45 วัน 

4) กลุ่มอสังหาฯถือเป็นอีกกลุ่มที่คาดผลกระทบในไตรมาส 2/2563 จะทรุดหนักระดับ 35-40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีโอกาสสูงที่จะถูกปรับประมาณการลงจาก Margin ที่ลดลงอย่างมีนัยยะประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่มีการโอนต่ำ 

5) กลุ่มค้าปลีก โดยร้านค้าส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการปิดสาขา คาด SSSG ติดลบมากกว่า 15% และกำไรหดตัว 15-20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วน กลุ่มก่อสร้าง ซึ่งบล.กสิกรฯมองว่าในรอบนี้อาจ outperform สอดคล้องกับสถิติ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่คาดได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จำกัด ประกอบกับในเดือนพ.ค.คาดเห็นรายละเอียดขายซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม, โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา โดยสรุปจากที่กล่าวมาทั้งหมด

บล.กสิกรฯ มองว่าในเดือนพ.ค.ภายหลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 และการประชุมนักวิเคราะห์กับผู้บริหาร จะเห็นการปรับประมาณการกำไรกลุ่มลงครั้งใหญ่ ซึ่งจะส่งผลต่อกำไรตลาดหลักทรัพย์ (SET-EPS) ที่ต่ำกว่าระดับ 70 และเมื่อเทียบกับ SET ณ.ระดับปัจจุบันจะคิดเป็น PER สูงกว่า 17-18x ถือว่าแพงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548 (สูงกว่าตอนเกิด COVID-19 เมื่อต้นปี) คิดเป็น +2SD ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาค ฉะนั้น SET ณ.ระดับ 1,300-1,320จุด บล.กสิกรฯมองว่าได้สะท้อนปัจจัยบวกของมาตรการควบคุม COVID-19 ที่ดีในไทยไปแล้ว และมองเป็นโอกาสในการทยอยขายทำกำไร

ทั้งนี้ มุมมองตลาดหุ้น วันนี้คาด SET แกว่งในกรอบ 1,280-1,320 จุด ปัจจุบัน SET ซื้อขายในระดับ +2SD ถือว่าอยู่ระดับแพงที่สุดในภูมิภาค ทำให้บล.กสิกรฯประเมิน upside มองเป็นโอกาสทยอยขายทำกำไร

 

 ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree