เปิดมุมมอง ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง FIRO และ กรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเด็น กัลฟ์ จับมือ ไบแนนซ์ บุกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
- มองการลงทุนครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรต่อสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยอย่างไร
- การจับมือกันของทั้งสององค์กรที่ใหญ่มาก ซึ่งโดยเฉพาะกัลฟ์ก็เป็นยักษ์ใหญ่ ถ้าเทียบกับ SCB จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมนี้แน่นอน จาก MOU ที่ กัลฟ์ได้ประกาศออกมานั้น ยังไม่แน่ใจว่าขอบเขตการลงทุนนี้จะอยู่แค่ในประเทศไทยหรือไม่ อาจไปมากกว่าประเทศไทย เพราะเท่าที่ดูความเคลื่อนไหวของไบแนนซ์ ก็ต้องการเปิดตลาดในหลาย ๆ ประเทศ เช่นการจับมือกับบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซีย เป็นต้น
การที่ไบแนนซ์จับมือกัลฟ์นั้น มองในมุมของกฎหมาย การกำกับ ว่าการเดินเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการกำกับ กฎ ระเบียบของไทยจะทำให้ง่ายขึ้น แน่นอนว่า ในตลาดบ้านเราตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ SCB แล้วที่เป็น ผู้เล่นที่ใหญ่ในตลาด มีกัลฟ์ที่ใหญ่มากเติมเข้ามา ก็น่าจะมีแรงผลักดันสูงขึ้น
- เปรียบเทียบ กัลฟ์ และSCB
ถ้าเปิดหน้าสู้กันเต็มที่มีความได้เปรียบเสียเปรียบต่างกันระหว่าง Gulf และ SCB ที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน มีความเด่นกันคนละด้านด้วย Infrastructure ของแต่ละที่ กัลฟ์เองมีฐานลูกค้าของ AIS อยู่ในมือกว่า 50% ของประชากรในประเทศ หรือประมาณ 40 ล้านบัญชี ซึ่งมากกว่าของ SCB แต่ SCB มีความรู้ความสามารถทางด้านไฟแนนซ์ แต่ก็เสียเปรียบด้วยฐานลูกค้าที่น้อยกว่าผู้ใช้โทรศัพท์ของ AIS ซึ่งถ้ากัลฟ์ ออนบอร์ด ลูกค้า AIS ให้เข้ามาในไบแนนซ์ ขนาดธุรกิจของเขาจะใหญ่แค่ไหน จากปัจจุบันที่มีนักลงทุนในทุก exchange รวมกัน อยู่ที่ 2 ล้านบัญชี
- การเข้ามาของไบแนนซ์จะเป็นลักษณะอย่างไร การแข่งขันของตลาดไทยจะเป็นอย่างไร นับจากนี้
มองว่าอย่างไรก็ตามไบแนนซ์จะต้องเข้ามาในเมืองไทย แต่จะในรูปแบบไหน เค้าก็ต้องพิจารณาจากประโยชน์สูงสุดที่เค้าจะได้รับ ไม่ว่าจะในลักษณะไหน จะเป็น Joint Venture หรือ กัลฟ์ถือหุ้นส่วนมาก หรือสัดส่วนการถือหุ้นจะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูประกาศหลังจากนี้
อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์การเป็นพาร์ทเนอร์กับไบแนนซ์ ทางไบแนนซ์จะไม่เป็น Exclusive Partner กับใคร อย่างเช่นที่ไบแนนซ์ถือหุ้น 3% ในสตางค์ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราเองก็มีเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อกันทำให้ นักลงทุนสามารถโอนแบบทันทีระหว่าง Satang Pro กับไบแนนซ์ได้
ฉะนั้นมองว่าไบแนนซ์ก็ยังมองหาพาร์ทเนอร์อื่น ๆ ได้ การเซ็น MOU ครั้งนี้กับกัลฟ์ จึงเป็นการเซ็นเพื่อมองหาการขยายโอกาสในธุรกิจของไบแนนซ์ และกัลฟ์ ส่วนบรายอื่น ๆ ที่ยังต้องการทำงานกับไบแนนซ์ก็ยังมีโอกาสอยู่
สถานการณ์ปัจจุบันคือการที่รายใหญ่มาเจอกับรายใหญ่ ตลาดตอนนี้เปลี่ยนจากเดิมที่เป็นการทำตลาดของรายเล็ก แต่วันนี้ทุก exchange มีแบ็คอัพเป็นรายใหญ่หมด ไม่ใหญ่ในประเทศไทยก็ใหญ่ในต่างประเทศ
การจับมือของกัลฟ์และไบแนนซ์นี้ ถือเป็นการเซ็ทแสตนดาร์ดใหม่ให้ exchange ที่เป็นglobalว่าถ้าจะเข้าไทยจะต้องหา local partner ที่ต้องเทียบเท่ากับกัลฟ์
4.การปรับตัวของ exchange ไทย
คือทุกที่จะต้องปรับตัวรวมถึงสตางค์ก็ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ แม้กระทั่งการหาพาร์ทเนอร์ ที่ต้องใหญ่พอ ๆ กัน ถึงจะสามารถแข่งขันในตลาดนี้ได้ ซึ่งก็มีการพูดคุยอยู่กับหลายช่องทางที่เป็นทั้ง แบงค์และ non-bank โดยมอง criteria ของการเลือก Strategic พาร์ทเนอร์เป็น 2 ส่วน 1. Infrastructure ในไทยที่จะต้องมีฐานลูกค้าที่ใหญ่พอที่จะขยายธุรกิจได้ 2. พาร์ทเนอร์ในต่างประเทศที่จะมาช่วยในการ connect ไปที่ต่างประเทศเพื่อจะให้ลูกค้าในต่างประเทศมาเทรดได้แบบ seamless ซึ่งการแข่งขันเมื่อมีไบแนนซ์เข้ามาในตลาดไทยคือเรียกว่าการชกกับรุ่น heavy weight เลย
กัลฟ์เองก็มี infrastructure ที่ใหญ่มากพอที่จะพัฒนา product ใหม่ ๆ ออกมาโดยอาศัยความเชี่ยวชาญของไบแนนซ์ ไม่ว่าจะเป็น NFT/ GameFi/ หรือ อื่น ๆ
มุมมองผมมองว่าการดีลธุรกิจของกัลฟ์นี้ เป็นการจุดประเด็นให้ Venture รายใหญ่ ๆ ของไทย ในการจับมือกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ โดยไม่ต้อง acquire ธุรกิจในไทย
ขณะเดียวกัน regulators เองก็ต้องปรับตัว ที่กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ทุกวันนี้ทำให้ exchange ไทย สู้กับต่างประเทศไม่ได้ ด้วยความหลากหลายของ product ที่ถูกจำกัดอยู่แค่ spot trading ขณะที่ exchange เมืองนอกที่มีทั้ง future/derivative ซึ่งก็กำลังจะเข้ามาในไทยมากขึ้น regulators จะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้ exchange ไทย ไม่เสียเปรียบในการแข่งขัน และสามารถ พัฒนา products ให้เราเป็นสถาบันการเงินที่สามารถพัฒนาการทำงานกับรูปแบบและบริการที่หลากหลาย แก่สถาบันการเงินและคนทั่วไป ให้สามารถเลือกใช้เงิน / สกุลเงิน / ระบบการชำระเงิน /การฝาก การกู้ ประเภทต่าง ๆ ได้พร้อมกัน เหมือนกับที่ exchange ต่างประเทศมีให้บริการ
ผมมองว่าทั้งนักลงทุน ผู้ประกอบการ และ Regulators ต้องมา Consolidate ความต้องการร่วมกันและหา common ground ให้เจอ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทุกฝ่าย นักเทรดมีโอกาสเพิ่มขึ้นในการลงทุน มีโอกาสทำรายได้มากขึ้น ผู้ประกอบการก็สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ขยายโอกาสทางธุรกิจไปเติบโตในระดับโลกได้ ส่วนรัฐไทยเองนอกจากจะได้ประโยชน์จากภาษี จะยังได้เม็ดเงินลงทุนที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ส่วนในประเด็นภาษี เชื่อมั่นว่า การเข้ามาของกัลฟ์อาจมาช่วยผลักดันให้มีการยกเว้นภาษีระยะหนึ่งจนกว่าตลาดจะ mature หรือการมีระบบการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมมากขึ้น รวมไปถึงการลิสท์เหรียญใด ๆ ที่กฎหมายไทยมีข้อจำกัดอยู่ กรณีการเข้ามาในไทยของไบแนนซ์นั้นเป็นกรณีศึกษาของ exchange เลยคือไปเปิดตลาดโกลบอลจนเติบโต และค่อยเข้ามาในตลาดไทย หรือตลาดที่ถูก Regulated โดยหา loacal partner ที่ใหญ่มาก ๆ พอที่จะพลิกธุรกิจได้เลย