" ปรัชญาการลงทุนของผม คือ Buy, hold and prosper (ซื้อ ถือ และรวย) " - Michael Lee-Chin -
มุ่งหน้าสู่ทะเลแคริบเบียน
ในช่วงปี 2000 อุตสาหกรรมการบริหารเงินกองทุนทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นที่นิยมมาก ส่วนใหญ่แต่ละกองทุนก็จะลงทุนในหลักทรัพย์เหมือนๆกัน หุ้นเหมือนๆกันและดูเหมือนว่าจำนวนกองทุนจะมากกว่าจำนวนตัวหุ้นซะอีก
ไม่เคิลเล็งเห็นว่าถ้าเราทำตามคนส่วนใหญ่อย่างดีที่สุดเราก็จะได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับพวกเขาเหล่านั้น และในกรณีแย่ที่สุด คือ ขาดทุนมหาศาล เพราะการทำตามคนส่วนใหญ่มันก็เป้นการชี้ชัดว่าจะทำให้เราขาดทุน ไมเคิลจึงพยายามมองหาต่างประเทศในการลงทุนซึ่งก็คือประเทศบ้านเกิดของเขา "จาไมก้า" และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
กลุ่มประเทศแคริบเบียนเป็นกลุ่มประเทศและหมู่เกาะต่างในเขตทะเลแคริเบียนซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวเนซูเอลา มีรัฐอยู่ราวๆ 25 รัฐซึ่งรวมรัฐอิสระและรัฐภายใต้ความคุ้มครอง (dependencies) (ข้อมูล : wikipedia.org)
ไมเคิลเห็นศักยภาพในประเทศบ้านเกิดของตัวเองจึงใช้บริษัท Portland ซึ่งเป็นโฮลดิ้งของเขาติดต่อขอซื้อธนาคารแห่งชาติจาไมก้าจำนวน 75% จากรัฐบาล ด้วยมูลค่า 6 พันล้านเหรียญจาไมก้า (ประมาณ 127 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ต่อมาในปี 2003 บริษัท AIC Financial Group Limited ซึ่งเป็นบริษัทอีกแห่งหนึ่งของเขาได้ซื้อกิจการรับแลกเปลี่ยนเงินตรา Senvia Money Services Inc. ที่ประเทศทรีนิแดด
ในปี 2004 ไมเคิลประกาศจัดตั้งกองทุน AIC Caribbean Fund ซึ่งเน้นลงทุนในประเทศกลุ่มแคริบเบียนและเป็นที่ฮือฮาในหน้าสื่อการเงิน แม้แต่กลุ่มผู้จัดการกองทุนในสหรัฐอเมริกาเองก็ตาม บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประเทศเหล่านี้อยู่ที่ไหน ? กองทุน AIC Caribbean Fund เน้นลงทุนใน 3 ประเทศ คือ จาไมก้า หมู่เกาะบาร์เบโดส และประเทศรีนิแดด แอนด์ โตแบโก้
ในปี 2006 Portland ซื้อธุรกิจประกันภัย United General Insurance Company สัดส่วน 85% และใหญ่ที่สุดในจาไมก้า ต่อมายังได้ซื้อธุรกิจสื่อโทรทัศน์ วิทยุ CVM Communications Group อีกด้วย
ในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยว ไมเคิลเล็งเห็นว่าในแถบดินแดนแคริบเบียนแห่งนี้เต็มไปด้วยทะเลที่สวยงามแต่ยังไม่มีโรงแรมระดับหรูให้บริการนักท่องเที่ยว เขาจึงสร้างโรงแรม Trident Villas and Spa ระดับ 5 ดาวติดทะเล Reggae Beach
หลีกหนีวิกฤตการณ์คอมโมดิตี้บูม
ในช่วงปลายของยุค 90 เป็นยุคที่สินค้าโภคภัณฑ์ราคาพุ่งแรงถึงขีดสุดรวมถึงน้ำมัน กองทุนของเขาแทบจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนเลย และยังต่ำกว่าค่าดัชนีกลางอีกด้วย ทำให้มีผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับผลการบริหารของเขา ไมเคิลพยายามให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ทาง AIC ไม่ได้มีความชำนาญทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์มากนักและไม่มีแนวคิดที่จะลงทุนในสินทรัพย์เหล่านั้น รวมถึงบริษัทไฮเทคก็เช่นเดียวกัน
"เราพยายามยึดมั่นอยู่ในความรอบรู้ของเราและการถือลงทุนระยะยาว ... ไม่ช้าก็เร็วสิ่งที่นิยมมากจนเกินไป สุดท้ายแล้วมันจะจบลงด้วยคำว่าฟองสบู่" ไมเคิล ลี ชิน บอกกับสื่อ
การลงทุนสไตล์ไมเคิล ลี ชิน เป็นการผสมผสานระหว่างการสวนกระแสและการค้นหาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ในขณะที่คนอื่นกำลังลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาหรือไม่ก็แคนาดา แต่เขากลับมองว่าประเทศในกลุ่มเกาะแคริบเบียนเป็นสถานที่ใหม่และยังไม่มีใครไปลงทุน จึงเป็นการยากที่จะเข้าไปแสวงหา แต่ถ้าเราค้นพบแล้วผลตอบแทนย่อมสูงตามไปด้วย อีกนัยหนึ่งเขายังเป็นนักลงทุนสวนกระแสที่ชาญฉลาด ใครๆก็ลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน แต่เขาพยายามหลีกเลี่ยงและลงทุนในสิ่งที่เขามีความรอบรู้อย่างเช่นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อ เป็นต้น
และนี้ก็เป็นอีกหนึ่งชีวิตนักลงทุนที่นักลงทุนชาวไทยควรรู้จักครับ ...
ขอบคุณ wikipedia.org