หัวข้อสำหรับมือใหม่ภาค 4 (ภาคจบ)
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จเป็นองค์ประกอบโดยรวมของสิ่งเหล่านี้คือ
1.การเลือกหุ้น หรือ stock selections
2.การจัดพอต หรือ portfolio management
3.จังหวะ หรือ timing
4.จิตวิทยา หรือ psychology
เท่าที่ผมอยู่ในวงการมานักลงทุนมือใหม่มักจะให้ความสนใจกับสองเรื่องคือการเลือกหุ้นและจังหวะสังเกตจากเพจหุ้นต่างๆจะพูดถึงการวิเคราะห์งบหรือกราฟเทคนิค แต่เรื่องของการจัดพอร์ตและจิตวิทยาเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงน้อยกว่าอย่างมากแต่เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
ถ้ามีการตั้งคำถามว่าสี่อย่างที่ผมกล่าวมาอะไรสำคัญที่สุดผมก็อาจจะตั้งคำถามกลับไปว่าในร่างกายของคุณหัวใจกับสมองอะไรสำคัญกว่ากันถ้าขาดบางอย่างคุณยังดำเนินชีวิตได้หรือไม่ ถ้ามีหัวใจกับสมองแต่ไม่มีไตในการฟอกของเสียจะดำเนินชีวิตได้หรือไม่ บางครั้งโลกเรามันไม่ได้ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแต่สิ่งที่สมบูรณ์มันเกิดจากองค์ประกอบที่ดีร่วมกัน
ในความคิดเห็นของผมนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะมีองค์ประกอบของสี่อย่างนี้โดยรวมแล้วทุกข้อ เดี๋ยวผมจะขยายความว่าถ้าคุณขาดคุณสมบัติบางข้อไปการลงทุนนั้นจะมีรูปแบบหน้าตาประมาณไหน
-ถ้าคุณเลือกหุ้นเป็นแต่คุณไม่มีจังหวะคุณอาจจะไปซื้อหุ้นที่แม้ว่าจะดีในระยะยาวแต่ระยะสั้นราคาหุ้นไม่ไปไหน เหมือนเข้าไปซื้อหุ้นแล้วอาจจะโดนแช่ระยะยาวกว่าหุ้นจะขึ้น อาจจะต้องถือมาแล้วครึ่งปีหรือหนึ่งปี แต่ถ้าเป็นคนที่เข้าถูกจังหวะเข้าไปซื้อหุ้นไม่นานแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นเลยคุณจะสามารถที่จะหมุนทำรอบของเงินได้มากกว่าผมยกตัวอย่าง ถ้าคุณซื้อหุ้น xyz แล้วเก้าเดือนแรกราคาไม่ไปไหนสามเดือนสุดท้ายราคาค่อยขึ้น 20% กับเพื่อนของคุณไปซื้อหุ้น xx ได้ผลตอบแทนมาแล้ว 20% ได้หกเดือนแล้วเค้าก็ขายเอาเงินมาซื้อหุ้น xyz อีกหกเดือนเค้าก็จะได้ผลตอบแทน 20% ทบต้นสองครั้ง โดยการรอคอยหุ้น xyz คุณต้องรอหนึ่งปีเพื่อได้ 20% แต่เค้ารอหกเดือนเพื่อได้ 20% ถ้าเป็นแบบนี้ในระยะยาวมากกว่า 10 ปีขึ้นไปผลตอบแทนของเพื่อนคุณจะมากกว่าคุณมหาศาลแบบเทียบกันไม่ได้ จริงๆแล้ว timing มองอีกมุมหนึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของ sock selection เพราะการที่เราจะจับจังหวะการซื้อขายหุ้นได้ถูกต้องเราต้องเข้าใจหุ้นตัวนั้นดีมากๆแต่เวลาบริหารพอร์ตเราต้องเข้าใจให้ดีหลายหลายตัวและบริหารเงินก้อนเดียวกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
-แล้วการบริหารพอร์ตมีความสำคัญอย่างไร ถ้าเรานึกภาพเป็นสงครามการรบการที่เราจะไปยึดพื้นที่ของศัตรูเรามีทหารและทรัพยากรอาวุธอยู่จำนวนนึงเราจะบริหารอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดอันนี้ใครคล้ายกับการจัดพอร์ตสมมุติว่า สมมุติว่านักลงทุนมือใหม่มีพอร์ตอยู่ 100,000 ถ้าเค้ามีหุ้นอยู่ห้าตัวประเด็นคือในห้าตัวนั้นมีตัวที่เขาเลือกผิดสองตัวและตัวที่ไม่ไปไหนหนึ่งตัวและสองตัวที่อยู่หุ้นวิ่ง กรณีนี้ถ้าเค้าจัดพอร์ตโดยลงน้ำหนักหุ้นทั้งห้าตัวเท่ากันเค้าน่าจะไม่ได้ไม่เสียอะไร
แต่ถ้าการจัดพอร์ตของเค้าลงน้ำหนักเยอะไปที่สองตัวที่ขึ้นผลตอบแทนของพอร์ตก็จะเริ่มบวก แล้วถ้าหลังจากลงทุนไปสักพักเค้ายอมตัดขาดทุนตัวที่ขาดทุน เพราะเริ่มมองเห็นว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้พื้นฐานไม่ดีอย่างที่เขาคิดและนำไปลงในตัวที่มีแนวโน้มจะวิ่งได้ดีกว่าจากปัจจัยเรื่องสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจหรือพื้นฐานที่ติดตามว่ามีพัฒนาการ แบบนี้ผลลัพธ์ก็จะเป็นอีกแบบ คือดียิ่งกว่ากรณีก่อนหน้า
ดังนั้นการจัดพอร์ตในเมื่อเราเลือกหุ้นหลายตัวเราจะลงน้ำหนักตัวไหนมากสุดและเมื่อเวลาผ่านไปเราจะลดตัวไหนเพิ่มตัวไหนยังคงถือตัวไหนอันนี้ก็จะส่งผลต่อผลตอบแทน
ผมเคยนั่งดูหุ้นที่นักลงทุนรายใหญ่คนนึงในประเทศไทยติดชื่อผู้ถือหุ้นขออนุญาตไม่เอ่ยนามเขามีหุ้นตัวเล็กตัวน้อยหลายตัวที่ผมดูตอนเค้าเพิ่งติดชื่อกับตอนที่ชื่อเขาหลุดออกไปเค้าขาดทุนค่อนข้างจะเยอะบางตัวมากกว่า 50% แต่ตัวหลักๆที่เขาลงเขาได้หลายเท่า ทำให้พอร์ตของเค้าใหญ่มากแม้ว่าชื่อที่เค้าติดหุ้นหลายตัวจะมีราคาที่ลดลงอย่างน่าใจหายแต่ผลตอบแทนของพอร์ตเขาถือว่าดีเพราะเค้าลงน้ำหนักมากที่สุดไปกับหุ้นตัวที่ขึ้นเยอะมากส่วนตัวอื่นๆแม้ว่าหลายตัวขาดทุนแต่ลงปริมาณเงินน้อย อันนี้ก็จะย้อนกลับไปในบทความภาคสามเรื่องว่าแพ้ศึกได้แต่ชนะสงคราม
และก็มีในด้านตรงกันข้ามก็คือมีนักลงทุนบางคนที่กำไรหุ้นมาหลายตัวมากและปกติไม่ได้ลงตัวไหนแบบ all in แต่ครั้งที่เค้ามั่นใจจนทุ่มเต็มที่กับเป็นครั้งที่ได้รับผลตอบแทนที่แย่มากๆกลายเป็นว่าตัดสินใจถูกมาตั้งหลายครั้งแต่การผิดพลาดครั้งเดียวอาจถึงขั้นล้มกระดาน ดังนั้นแม้ว่าเราจะมีหุ้นชุดที่น่าสนใจแล้วแต่แค่การให้น้ำหนักผิดถูกผลลัพธ์ก็เหมือนเหรียญคนละด้าน
ข้อสุดท้ายที่เป็นองค์ประกอบที่ถ้าขาดสิ่งนี้ไป ระยะยาวคุณมีโอกาสที่จะไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งก็คือจิตใจ ปีเตอร์ลินนักลงทุนระดับโลกบอกว่าไม่ว่าคุณจะเฉลียวฉลาดแค่ไหนก็ตามถ้าคุณเป็นคนขี้ตกใจให้เอาเงินออกจากตลาดอย่าเข้ามาในตลาดหุ้น
ไม่ว่าคุณจะเลือกหุ้นมาดีแค่ไหนจัดพอร์ตดีอย่างไรหรือ จังหวะดีอย่างไรถ้าเกิดคุณเจอวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหญ่ความน่าจะเป็นร้อยละ 90% คุณมีโอกาสที่พอร์ตจะติดลบยกเว้นคุณเป็นพวกถือเงินสดช่วงนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากที่คุณลงทุนตลอดเวลาแล้วช่วงนั้นจะถือเงินสดพอดีผมเลยยกไว้เป็นกรณีพิเศษขอพูดถึงกรณีส่วนใหญ่
ดังนั้นถ้าคุณเลือกหุ้นมาอย่างดีแต่อยู่ในช่วงที่ตลาดปรับตัวอย่างรุนแรงหุ้นของคุณก็ลงไปด้วยแถมลงหนักบางครั้งลงหนักทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนถ้าใครเคยผ่านตลาดตอนช่วง ปี 2008 จะเข้าใจสิ่งนี้ดีมากหุ้นหลายตัวราคาทดถอยจากจุดสูงสุด 60 ถึง 70% ทั้งที่กำไรยังเติบโตอยู่เลย ถ้าคุณลงทุนแล้วคุณดูมาอย่างดีแต่คุณขาดทุนมากกว่า 50% คุณจะเริ่มรู้สึกว่าคุณคิดผิดแน่นอนไม่งั้นทำไมขาดทุนขนาดนี้แต่ในบางครั้งคุณไม่ได้คิดผิดสมมุติว่าหุ้นตัวที่คนลงทุนกำไรและกระแสเงินสดยังคงเติบโตและไม่ได้มีความเสี่ยงอะไรเข้ามาใหม่อย่างมีนัยยะสุดท้ายพอหลังจากตลาดหายตกใจหุ้นเหล่านั้นจะกลับขึ้นมาแรงมาก เหมือนหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลายตัวที่ราคาลดลงอย่างหนักในปี 2008 และเป็นหุ้นที่สามารถทำผลตอบแทนระดับ 700 ถึง 800% ในช่วงปี 2009 ถึง 2010 กรณีพวกนี้ผมเคยลงข้อมูลไว้ในงานวิจัยส่วนตัวว่าเราจะวิเคราะห์อย่างไรบ้างและทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น
ถ้าคุณเป็นคนขี้ตกใจแม้ว่าคุณเลือกหุ้นเหล่านี้ถูกต้องแต่คุณอาจจะเป็นคนที่เลิกลงทุนหรือขายหุ้นเหล่านี้ขาดทุนออกไปตอนปลายปี 2008 และถือครองเงินสดพร้อมสาปแช่งให้โลกนี้วิบัติชิบหายเพราะคุณจะได้ซื้อหุ้นถูกกว่าราคาที่คุณขายออกไปแต่ตลาดก็เป็นซุปเปอร์กระทิงในรอบเป็น 10 ปี ดังนั้นถ้าในภาวะปกติเรื่องของจิตใจจิตวิทยาอาจจะดูไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาแต่ในภาวะไม่ปกติเมื่อไหร่มันจะเป็นตัวชี้เป็นชีทตายแบบสุดสุดให้กับการลงทุนของคุณถ้าคุณขาดคุณสมบัติข้อนี้ไปแค่ข้อเดียวผมคิดว่าคุณไม่ค่อยเหมาะกับการเข้ามาในตลาดหุ้น
เรื่องส่วนตัวเลยคือผมมีโอกาสรู้จักกับคนที่เป็นคนขี้ตกใจและไม่ว่าเค้าจะผ่านเหตุการณ์อะไรมาแล้วมากแค่ไหนเค้าก็ยังคงเป็นคนขี้ตกใจลึกลึกผมอยากบอกให้เขาหยุดลงทุนซะแต่ผมก็ไม่กล้าพูดเดี๋ยวมันจะหักหารน้ำใจกันเกินไปแต่ผมดูพอร์ตของเค้าระยะยาวแล้วผมคิดว่าถ้าเค้าไม่ลงทุนเลยแล้วใช้ชีวิตทำอย่างอื่นผมว่าสุขภาพจิตกับคุณภาพชีวิตของเค้าดีกว่าที่เค้าลงทุนมาตลอดและขี้ตกใจมาตลอด
ในคุณสมบัติสี่อย่างที่ผมบอกมาผมคิดว่าสามอย่างเป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้ตามประสบการณ์แต่เฉพาะเรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่เหมือนฝึกฝนกันยากมากผมค่อนข้างคิดว่าเป็นเรื่อง born to be ในระดับหนึ่งเพราะผมเคยเจอบางคนที่ลงทุนครั้งแรกแรกเค้าก็มีจิตใจที่มั่นคงทั้งที่ประสบการณ์ลงทุนน้อยแต่หลายคนประสบการณ์ลงทุนสูงมากเคยฟังนักลงทุนเก่งเก่งมาก็มาแต่ก็ยังขี้ตกใจ สำหรับคนที่อยากทำสิ่งนี้ได้ดีขึ้นมีตัวช่วยก็คือเรื่องการฝึกสติแต่ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งไม่ใช่ช่วยได้ทั้งหมด
จริงๆแล้วองค์ประกอบสี่อย่างนี้การเลือกหุ้นเป็นคุณสมบัติหลักอย่างแรกก่อนเพราะการเลือกหุ้นเราต้องเข้าใจหุ้นที่เราเข้าไปซื้อดีพอและเมื่อเราเข้าใจดีพอถ้าเรามองออกว่าช่วงไหนที่กำไรของบริษัทน่าจะกระโดดก็จะเกี่ยวกับเรื่องของการหาจังหวะต่อมาหรือถ้าเราเข้าใจหลายตัวมากพอเราก็จะบริหารจัดการพอร์ตได้ดีดังนั้นการเลือกหุ้น หรือการเข้าใจพื้นฐานของหุ้นมากพอก็จะต่อยอดมาที่จังหวัดกับการบริหารพอร์ตเป็นองค์ประกอบต่อเนื่อง
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ผมคิดว่าเราควรพัฒนาคุณสมบัติทั้งสี่ข้อนี้ให้ดี บางครั้งเราไม่รู้ด้วยว่าองค์ประกอบอะไรที่สำคัญเราก็ไปคิดว่าสิ่งที่สำคัญเป็นการเลือกหุ้นหรือการหาจังหวะอย่างเดียวแต่การที่พอร์ตจะเติบโตได้ดีในระยะยาวผมคิดว่าต้องมีคุณสมบัติโดยรวมของสี่อย่างนี้เป็นอย่างดี
ขอจบ series มือใหม่ไว้เท่านี้ครับ