โบรกฯ แนะเก็งกำไร 4 หุ้นหมู-ไก่ รับอานิงสงส์
ยอดใช้จ่ายช่วง “ตรุษจีน” สูงสุดในรอบ 3 ปี !

.
วันตรุษจีน หรือ วันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินจีน นับเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญของชาวจีน ซึ่งจะมีการจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู เนื้อเป็ด และเนื้อไก่ ซึ่งจะถูกนำไปทำอาหารเพื่อบริโภคเป็นของไหว้ ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวราคาเนื้อสัตว์มักจะปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมได้รับผลบวกตามไปด้วย
.
จากประเด็นที่กล่าวข้างต้น ทำให้ช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน นักลงทุนบางส่วนมักจะเข้ามาซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหมูและไก่เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น แต่ในปี 2566 มีแนวโน้มที่หุ้นหมูและไก่จะตอบรับเชิงบวกหรือไม่ วันนี้ Wealthy Thai มีความเห็นจากนักวิเคราะห์มาฝากเช่นเคย
.
โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ประเมินช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ (20 - 22 ม.ค. 2565) จะมีการใช้จ่ายที่มากที่สุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ที่คลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติหนุนการกลับมาทำกิจกรรมท่องเที่ยวและทาน อาหารนอกบ้าน
.
อีกทั้งมาตรการช้อปดีมีคืนของรัฐฯ ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย โดยการใช้จ่ายที่สูงขึ้นในช่วงตรุษจีนจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อปริมาณความต้องการเนื้อสัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้หลัก เช่น หมู, ไก่, เป็ด รวมถึงกระตุ้นการบริโภคอาหารในร้านอาหาร ส่งผลให้แนวโน้มราคาหมูและไก่ในประเทศมีโอกาสจะปรับสูงขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน เป็นบวกผลประกอบการของกลุ่มฟาร์มสัตว์
.
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน หุ้นกลุ่มฟาร์มสัตว์บกมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก 3 ปี จาก 5 ปี ซึ่งในปี 2566 ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าจะเป็นอีกปีที่หุ้นในกลุ่มนี้จะตอบรับเชิงบวกได้
.
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงคงคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มอาหาร “เท่ากับตลาด” แต่มองว่าสามารถสะสมกลุ่มฟาร์มสัตว์บก เช่น CPF, BTG, GFPT และ TFG ได้เนื่องจากมี Valuation อยู่ในโซนต่ำ หรือหาจังหวะเก็งกำไรในช่วงสั้นในช่วงตรุษจีน
.
โดยปัจจัยหลักที่ต้องจับตาที่จะทำให้หุ้นในกลุ่มฯ กลับมามีความน่าสนใจ ได้แก่ 1) ค่าเงินบาท เทียบดอลลาร์สหรัฐ ที่เริ่มชะลอตัวการแข็งค่า, 2) ราคาหมูและไก่พลิกกลับมาสูงขึ้น และ 3) ไตรมาส 1/66 ช่วง Preview ผลประกอบการที่หากยังเติบโตได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อนบนฐานสูง ตลาดจะเริ่มคลายความกังวลต่อแนวโน้มกำไรปี 2566
.
ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานของหุ้นรายตัว CPF หรือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ฝ่ายวิเคราะห์ยังมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2566 ที่คาดจะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 จากธุรกิจในต่างประเทศที่ฟื้นตัวได้มากขึ้น ขณะที่ราคาหมูและไก่ในประเทศคาดจะยังทรงตัวระดับสูงถึงช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นอย่างน้อย ประกอบกับแนวโน้มราคาต้นทุนที่คาดจะชะลอตัวลง หนุนอัตราการทำกำไร ดังนั้น จึงยังคงคาแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 31.50 บาท
.
BTG หรือ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า BTG เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย บริษัทมีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นและส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะในตลาด ขยายธุรกิจต่างประเทศ และสำรวจโอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่
.
ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรปกติในปี 2564 -2567 จะเติบโตเฉลี่ย 122% จาก 811 ล้านบาท สู่ 8.8 พันล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรที่กว้างขึ้นผ่านราคาขายในตลาดระดับสูง และการเน้นผลิตภัณฑ์และช่องทางที่ให้อัตรากำไรสูงมากขึ้น จึงให้คำแนะนำ BTG ด้วยเรทติ้ง OUTPERFORM โดยมีราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 46 บาท
.
ด้าน TFG หรือ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บล.บัวหลวง ระบุว่า เนื่องจากราคาปศุสัตว์ไทยที่ยังคงยืนในระดับสูง บวกกับวอลุ่มขายที่จะเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิต ธุรกิจร้านค้าปลีกของบริษัทจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในปี 2566 นอกจากนี้อัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลง 20-25% ในทุกเส้น ทำฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรในปี 2566 จะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวจากปีก่อนที่ 5.2 พันล้านบาท โดยมูลค่าหุ้น ณ ปัจจุบันถือว่าถูกมาก ให้คำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาพื้นฐาน 10.73 บาท
.
ส่วน GFPT หรือ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ยังแนะนำ ซื้อ GFPT ด้วยราคาเป้าหมาย 18.70 บาท จากแนวโน้มการท่องเที่ยวฟื้นที่ตัวในญี่ปุ่นและจีน ซึ่งคาดว่าจะทำให้การส่งออกไก่ไปญี่ปุ่นและจีนเติบโตเด่นทั้งปริมาณส่งออกและราคาไก่ส่งออก
.
ขณะที่การท่องเที่ยวของไทยก็ฟื้นตัวเด่นเช่นเดียวกัน กระตุ้นปริมาณขายและราคาไก่ในประเทศด้วย โดยคาด GFPT มียอดขายและกำไรสุทธิในปี 2566 ยังค่อนข้างเด่น คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท โดยปัจจัยบวกในปี 2565 ที่หายไปคือค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่ปัจจัยบวกในปีนี้ที่ยังมีเข้ามาทดแทนได้แก่ค่า Freight และราคาถั่วเหลืองลดลง