ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 หุ้นที่ต่างชาติเทขายมากสุดในเดือนมิ.ย. กูรูแนะจับตาปัจจัยเสี่ยงดันฟันด์โฟลว์ไหลออก

โดย หมาฝัน
เผยแพร่ :
89 views

5 หุ้นที่ต่างชาติเทขายมากสุดในเดือนมิ.ย. กูรูแนะจับตาปัจจัยเสี่ยงดันฟันด์โฟลว์ไหลออก

ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและได้รับแรงกดดันจากความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐที่พุ่งสูงต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง ขณะเดียวกันในก็ยังมีปัจจัยลบประเทศที่ต้องติดตามทั้งการเก็บภาษีหุ้นและการเสนอปรับลดค่าการกลั่นหรือราคาหน้าโรงกลั่นเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศของภาครัฐ รวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดว่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงรุนแรง


จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนโดยตรง และหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่เป็นทั้งแรงสนับสนุนและแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นไทยคือนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในเดือนมิ.ย. 65 เริ่มเห็นแนวโน้มการไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติเป็นเดือนแรกของปี 2565 ดังนั้น ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้สรุปข้อมูลมาให้ดูว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไหนมากที่สุด 5 อันดับแรก


สำหรับ 5 หุ้นที่ถูกนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดตั้งแต่ต้นปี คือ

  1. SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 3,305.5 ล้านบาท

  2. TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,972.8 ล้านบาท

  3. DTAC หรือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,245.0 ล้านบาท

  4. KCE หรือ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,172.9 ล้านบาท

  5. PTTGC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,093.6 ล้านบาท

 



จับตา
4 ปัจจัยกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออก

นักวิเคราะหจากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในเดือน มิ.ย. 65 เป็นช่วงที่เฟดใช้นโยบายตึงตัวแบบ New Normal ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุลกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย 6 ใน 7 วันทำการ ล่าสุดขายสุทธิไปแล้ว 9.3 พันล้านบาท (1 – 12 มิ.ย. 65) ถือเป็นการไหลออกเดือนแรกของปี 2565 และเห็นแนวโน้มในการไหลออกมากขึ้น โดยคาดว่ายังมีโอกาสเห็นแนวโน้มฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อจาก 4 ปัจจัยดังนี้


1.ตลาดคาดเฟดมีโอกาสใช้นโยบายการเงินเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ Spread ดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐกว้างขึ้น อาจส่งผลให้กนง. มีโอกาสปรับดอกเบี้ยตามขึ้นไป เพื่อสกัดค่าเงินบาทอ่อนและเงินเฟ้อ การเร่งขึ้นดอกเบี้ยถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่กดดัน ตลาดเนื่องจากตามกลไกหาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% กดดันเป้าหมาย SET ลง 88 จุด เหลือ 1722 จุด และขึ้นดอกเบี้ย 0.75% กดดันเป้าหมาย SET ลง 240 จุด 1570 จุด


2.ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อกดดันให้ต่างชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น หาก Spread ดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐกว้างขึ้น กดดันเม็ดเงินไหลกลับไปสู่ตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ จากล่าสุดอ่อนค่าขึ้นมาอยู่ที่ 34.84 บาทต่อเหรียญ เกือบ สูงสุดในรอบ 5 ปี 3 เดือน


3.การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพื่อสกัดสินค้าราคาแพง ณ ปัจจุบัน อาจส่งผลให้ ราคา Commodity ต่างๆ ทยอยย่อตัวลง แต่ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นที่อิงกับราคา Commodity ถึง 1 ใน 3 ส่วน อาจกดดันให้ฟันโฟลว์ที่เคยไหลเข้าหุ้นพวกนี้ชะลอลง


และ 4. ความกังวลเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วง Recession เริ่มเห็นโอกาสเกิด Inverted Yield Curve เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด Bond Yield สหรัฐระยะสั้นเร่งขึ้นมาเร็วจน Bond Yield 5 ปี ขึ้นแซง 30 ปี และ Bond Yield 2 ปี 3.06% เพิ่มเข้าใกล้ 10 ปี 3.16% (ห่างกันเพียง 10 bps.) ซึ่งเวลาเกิด Inverted Yield Curve ทีไรฟันโฟลว์มักจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นไทยเสมอ


จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นความเสี่ยงที่ฟันโฟลว์มีโอกาสขายทำกำไรหุ้นไทยในบางช่วงเวลา และมีโอกาสพลิกกลับมาไหลออกเมื่อเทียบกับการไหลเข้าในช่วงต้นๆของปี สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสด 10 – 20% ส่วนเงินลงทุนแนะนำหุ้นที่มีเกราะ ป้องกันดอกเบี้ยขาขึ้นอย่าง BLA (ได้แรงหนุนจาก Bond Yield ขยับขึ้นเร็ว), และหุ้น เมืองผันผวนต่ำอย่าง BH (ได้ประโยชน์บาทอ่อน), BEM (ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจในประเทศ

 

 

 

 


หมาฝัน