5 หุ้นที่ต่างชาติเทขายมากสุดในเดือนมิ.ย. กูรูแนะจับตาปัจจัยเสี่ยงดันฟันด์โฟลว์ไหลออก
ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและได้รับแรงกดดันจากความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐที่พุ่งสูงต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง ขณะเดียวกันในก็ยังมีปัจจัยลบประเทศที่ต้องติดตามทั้งการเก็บภาษีหุ้นและการเสนอปรับลดค่าการกลั่นหรือราคาหน้าโรงกลั่นเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศของภาครัฐ รวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดว่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงรุนแรง
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนโดยตรง และหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่เป็นทั้งแรงสนับสนุนและแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นไทยคือนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในเดือนมิ.ย. 65 เริ่มเห็นแนวโน้มการไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติเป็นเดือนแรกของปี 2565 ดังนั้น ดังนั้น Wealthy Thai จึงได้สรุปข้อมูลมาให้ดูว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไหนมากที่สุด 5 อันดับแรก
สำหรับ 5 หุ้นที่ถูกนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดตั้งแต่ต้นปี คือ
-
SCC หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 3,305.5 ล้านบาท
-
TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,972.8 ล้านบาท
-
DTAC หรือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,245.0 ล้านบาท
-
KCE หรือ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,172.9 ล้านบาท
-
PTTGC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 2,093.6 ล้านบาท
จับตา 4 ปัจจัยกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออก
นักวิเคราะหจากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในเดือน มิ.ย. 65 เป็นช่วงที่เฟดใช้นโยบายตึงตัวแบบ New Normal ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุลกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย 6 ใน 7 วันทำการ ล่าสุดขายสุทธิไปแล้ว 9.3 พันล้านบาท (1 – 12 มิ.ย. 65) ถือเป็นการไหลออกเดือนแรกของปี 2565 และเห็นแนวโน้มในการไหลออกมากขึ้น โดยคาดว่ายังมีโอกาสเห็นแนวโน้มฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อจาก 4 ปัจจัยดังนี้
1.ตลาดคาดเฟดมีโอกาสใช้นโยบายการเงินเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ Spread ดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐกว้างขึ้น อาจส่งผลให้กนง. มีโอกาสปรับดอกเบี้ยตามขึ้นไป เพื่อสกัดค่าเงินบาทอ่อนและเงินเฟ้อ การเร่งขึ้นดอกเบี้ยถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่กดดัน ตลาดเนื่องจากตามกลไกหาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% กดดันเป้าหมาย SET ลง 88 จุด เหลือ 1722 จุด และขึ้นดอกเบี้ย 0.75% กดดันเป้าหมาย SET ลง 240 จุด 1570 จุด
2.ค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อกดดันให้ต่างชาติมีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น หาก Spread ดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐกว้างขึ้น กดดันเม็ดเงินไหลกลับไปสู่ตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ จากล่าสุดอ่อนค่าขึ้นมาอยู่ที่ 34.84 บาทต่อเหรียญ เกือบ สูงสุดในรอบ 5 ปี 3 เดือน
3.การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพื่อสกัดสินค้าราคาแพง ณ ปัจจุบัน อาจส่งผลให้ ราคา Commodity ต่างๆ ทยอยย่อตัวลง แต่ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นที่อิงกับราคา Commodity ถึง 1 ใน 3 ส่วน อาจกดดันให้ฟันโฟลว์ที่เคยไหลเข้าหุ้นพวกนี้ชะลอลง
และ 4. ความกังวลเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วง Recession เริ่มเห็นโอกาสเกิด Inverted Yield Curve เพิ่มขึ้น โดยล่าสุด Bond Yield สหรัฐระยะสั้นเร่งขึ้นมาเร็วจน Bond Yield 5 ปี ขึ้นแซง 30 ปี และ Bond Yield 2 ปี 3.06% เพิ่มเข้าใกล้ 10 ปี 3.16% (ห่างกันเพียง 10 bps.) ซึ่งเวลาเกิด Inverted Yield Curve ทีไรฟันโฟลว์มักจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดหุ้นไทยเสมอ
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นความเสี่ยงที่ฟันโฟลว์มีโอกาสขายทำกำไรหุ้นไทยในบางช่วงเวลา และมีโอกาสพลิกกลับมาไหลออกเมื่อเทียบกับการไหลเข้าในช่วงต้นๆของปี สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสด 10 – 20% ส่วนเงินลงทุนแนะนำหุ้นที่มีเกราะ ป้องกันดอกเบี้ยขาขึ้นอย่าง BLA (ได้แรงหนุนจาก Bond Yield ขยับขึ้นเร็ว), และหุ้น เมืองผันผวนต่ำอย่าง BH (ได้ประโยชน์บาทอ่อน), BEM (ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจในประเทศ