ห้องเม่าปีกเหล็ก

Top 10 Life Lessons From Warren Buffett

โดย Sakol
เผยแพร่ :
114 views

แนะนำให้กด like แฟนเพจนี้ก่อนครับ ผมติดตามประจำ

https://www.facebook.com/saruthomesite/posts/1094901637226470

สรุปประเด็นที่น่าสนใจจากหนังสือ ‘Crash’ – How to Protect and Grow Capital during Corrections
.
โดยทั่วไปแล้วการปรับฐานจะมีประมาณ 5 Stage หลัก ได้แก่
.
1. ช่วงเริ่มต้นการปรับฐาน ตลาดจะเกิดการร่วงลงอย่างเร็วแรง ใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ ทำให้ตลาดเริ่มติดลบประมาณ 5-10% หรือมากกว่านั้น เกิดภาวะ oversold และตลาดปิดต่ำกว่า MA 200 วัน
.
2. การเด้งแรงๆในช่วงแรกหลังจากตลาด oversold โดยการเด้งในช่วงนี้ตลาดมักจะไปชนแนวต้านที่เส้น MA หลักๆ คือ MA 10 , 20 , 50 หรือ 200 วัน แล้วเริ่มลงต่อ
.
3. ภาวะตลาด Choppy คือช่วงที่ตลาดผันผวนขึ้นลงรุนแรงสลับกัน โดยตลาดและราคาหุ้นรายตัวจะเหวี่ยงมากในแต่ละวัน เป็นช่วงที่เทรดได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซื้อหรือขายก็ตาม
.
4. การทดสอบ Low เดิมของตลาดที่เกิดขึ้นในข้อ 1 (Retest of the momentum low) โดยมีจุดสังเกตที่สำคัญ ดังนี้
.
4.1 เริ่มเกิด Divergence ในเชิงบวก เช่น ตลาดทำ new low แต่มีหุ้นทำ new low น้อยลง , ตลา่ด new low แต่มีหุ้น breakout หรือมีหุ้น setup ทำ base ดีๆมากกว่าเดิม (หุ้นส่วนใหญ่เริ่มไม่ลงตามตลาด) เป็นต้น
.
4.2 ถ้าตลาดเด้งแล้วไม่สามารถยืนได้ หลังจากการ retest low แสดงว่าเรามีโอกาสอยู่ในภาวะตลาดหมี (bear market) หรืออย่างน้อยก็น่าจะต้องเจอการปรับฐานที่ยาวนานกว่าปกติ
.
5. Recovery – ช่วงการฟื้นตัวของจริง ช่วงนี้ตลาดและหุ้นส่วนใหญ่จะเริ่มมีทิศทางเดียวกัน แรงซื้อจะมากจนตลาดและหุ้นพุ่งแรงๆโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นนำตลาด แม้จะเกิดภาวะ overbought แต่ตลาดก็จะไม่ลงแรงมากนัก ช่วงนี้คนที่มัวรอตลาดย่อแรงๆหรือยังกลัวตลาดขาลงอยู่ ก็อาจจะพลาดการฟื้นตัวในระยะแรกนี้ได้
.
*Market Bottom จะเกิดได้จากแรงซื้อจำนวนมาก มาสนับสนุนให้ตลาดและหุ้นเริ่มกลับตัวได้จริง (Follow-Through Day , หุ้นนำตลาด Breakout) ไม่ใช่เกิดจากแรงขายจำนวนมาก*
.
*นอกจากนี้ กว่าที่ตลาดและหุ้นจะเกิด trend รอบใหม่แต่ละครั้งมันต้องใช้เวลานาน ถ้าช่วงไหนหุ้นยังผันผวนเหวี่ยงแรงมาก (high volatility) นั่นแสดงว่าการปรับฐานอาจจะยังไม่เสร็จดี เพราะแนวโน้มที่ชัดเจนมักจะเกิดในช่วงที่ความผันผวนต่ำ ตลาดและหุ้นรายตัวจะไม่ได้เหวี่ยงขึ้นลงรุนแรงมากนัก
.
*ถ้าเห็นตลาดยังผันผวนรุนแรงหรือ Choppy อยู่ ช่วงนี้เราอาจจะเลือกว่า จะหยุดพักรอดูสถานการณ์ , เทรด size เล็กลง หรือเล่นระยะสั้นลง (ขายตามแนวต้าน – lock กำไร) เพื่อรอให้เห็น Trend ตลาดชัดขึ้นก่อน รอดูว่าจะกลับตัวเป็นขาขึ้นได้หรือเปลี่ยนเป็นขาลงเต็มตัว ซึ่งจะมีผลต่อกลยุทธ์การเทรดของเราต่อไป*
.
*การ Short ในขาลง ไม่ควรคิดถือยาว เพราะมักจะมีการเด้งแรงๆกลับไปหาแนวต้านเดิม (bear market rally) ซึ่งจะทำให้กำไรที่ทำไว้หายไปหมดได้*
.
– ในช่วงระยะแรก คนส่วนใหญ่จะยังไม่รับรู้ว่าตลาดไม่ดี และคิดว่าคงไม่มีอะไรเหมือนกับครั้งก่อนๆ ทำให้พวกเขาปรับตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น (underreact) และเมื่อเข้าสู่ช่วงที่ตลาดร่วงลงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ก็มักจะ panic แล้ว overreact มาขายหุ้นทิ้งในตอนท้ายๆ
.
– การที่คนส่วนใหญ่ปรับตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น แล้วไป panic sell ทีหลัง ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับคนที่เตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ล่วงหน้า
.
– การปรับฐานโดยมากแล้วมักจะกินเวลาไม่นาน ซักพักตลาดก็จะกลับตัวได้ แต่ถ้าปรับฐานนานแล้วตลาดไม่สามารถกลับตัวได้ ก็มีโอกาสที่จะเกิด Bear Market โดยนิยามคร่าวๆคือ ตลาดที่เทรดอยู่ต่ำกว่าเส้น MA 200 วัน ต่อเนื่องเป็นเวลานาน (ทุกครั้งที่ตลาดร่วงแรงและยาวนานมักจะเกิดเมื่อเทรดต่ำกว่าเส้น 200วัน)
.
– ในช่วงตลาดขาลง ให้โฟกัสหุ้นที่แสดงตัวว่าแข็งแกร่งชัดเจน คือ ไม่ลงตามตลาด, ขึ้นสวนวันที่ตลาดลงแรง ถึงแม้ว่าตลาดเป็นขาลง แต่ก็พอจะมีหุ้นส่วนน้อยที่ยังขึ้นสวนตลาดได้เรื่อยๆ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี แม้ว่าจะเทรดยากกว่าช่วงปกติก็ตาม
.
ช่วงนี้หวังว่าทุกท่านจะโชคดีพอร์ตปลอดภัย อย่าลืมว่าการเอาตัวรอดให้ได้เมื่อตลาดปรับฐานรุนแรงหรือช่วงขาลง คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่นหุ้น
.
ค่อยๆดูอาการตลาดกับหุ้นในลิสไปก่อน ถ้าจะเทรดก็เทรดอย่างระมัดระวัง เน้นคุม risk ให้ดี อย่าเพิ่งโลภหวังกำไรเยอะๆครับ
.
.
อ่านเพิ่มเติม > Blog 58 : ‘Crash’ – สรุปแนวคิดการเทรดช่วงตลาดปรับฐานรุนแรง

http://www.sarut-homesite.net/blog-58-crash-book-corrections/


Sakol