
ราคาน้ำมันปรับพุ่งทะยานไม่ยั้งหยุด ล่าสุดน้ำมัน WTI ขึ้นมาแตะ 135 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันมี 2 สาเหตุใหญ่ด้วยกัน คือ
1. ปัญหาอุปทานน้ำมันขาดแคลนไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมัน หลังจากที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจาก COVID19 แต่กำลังการผลิตน้ำมันฟื้นตัวตามไม่ทัน การลงทุนแท่นขุดเจาะแห่งใหม่แทบไม่มีเกิดขึ้น ส่งผลให้กำลังการผลิตสำรองของกลุ่ม OPEC ปรับลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคลังน้ำมันสำรองของโลกปรับลงต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี
2. วิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้นานาชาติทำการคว่ำบาตรรัสเซีย และกระทบต่อการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งรวมถึง น้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย
การคว่ำบาตรรัสเซียได้กลายเป็นตัวเร่งราคาน้ำมัน ต่อเนื่องจากปัญหา Supply Shortage ให้เลวร้ายลงไปอีก ล่าสุดสหรัฐและสหราชอาณาจักรประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย (สหราชอาณาจักรยังคงอนุญาตให้ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน)แม้ว่าปัจจุบันสหรัฐจะนำเข้านำมันจากรัสเซียเพียง 4-6 แสนบาร์เรลต่อวัน (และลดลงเหลือ 1 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วง มค.65) แต่ความกังวลอุปทานขาดแคลนได้ส่งให้ราคาน้ำมันเบนซิลในสหรัฐตอนนี้พุ่งทะยานไปจนถึง 4.2 เหรียญต่อแกลลอน สูงที่สุดในรอบ 14 ปี
Goldman Sachs ทำการคาดการณ์ว่า ทุกๆการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 20 ดอลลาร์ จะทำให้ GDP โลกปรับลดลง -0.30% สหรัฐปรับลดลง -0.3% ยุโรป -0.60%เอเชียแปซิฟิก -0.20 ถึง -0.80% โดยจีนจะปรับลดลง -0.30% ส่วนไทยอยู่ที่ -0.10%
โดย Goldman Sachs ปรับคาดการณ์ราคาน้ำมัน Brent ในปี 2022 เป็น 135 เหรียญต่อบาร์เรล (เดิม 100 เหรียญ) และ 115 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2023 (เดิม 105 เหรียญ) เพื่อสะท้อนการหยุดชะงักของน้ำมันที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เทียบกับการสูญเสีย 4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน)
ท่ามกลางกระแสการปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันจากบรรดาสำนักวิเคราะห์ต่างๆ มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ ราคาน้ำมันในปัจจุบันมีภาพของการเป็น Backwardation ที่กว้างมากๆ ราคาน้ำมันส่งมอบใน 12 เดือนข้างหน้าต่ำกว่าราคาส่งมอบเดือนปัจจุบันถึง 30 เหรียญ ถือเป็นระดับที่มากที่สุดประวัติการณ์ สะท้อนว่าตลาดกำลังกลัวกับสถานการณ์ระยะสั้น (รัสเซีย-ยูเครน) และไม่เชื่อว่าราคาน้ำมันในระยะยาวจะแพงเหมือนอย่างในปัจจุบัน
จุดนี้จะแตกต่างจากสถานการณ์น้ำมันในปี 2008 ที่ราคา WTI พุ่งไปถึง 150 เหรียญท่ามกลางการคาดการณ์ว่าน้ำมันจะไป 2-300 เหรียญในอนาคต ในเวลานั้นส่วนต่างราคาน้ำมันระหว่างสัญญาณระยะสั้นกับระยะยาวแทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนว่าในปี 2008 เป็นช่วงที่โลกพึ่งพาน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก (แตกต่างจากปัจจุบันที่มีพลังงานทางเลือกมากมาย) และเชื่อว่าน้ำมันกำลังจะขาดแคลน ส่งผลให้ราคาส่งมอบใน 10 30 และ 50 ปี มีระดับราคาที่ใกล้เคียงหรือมากกว่าราคาส่งมอบระยะสั้น
อีกสิ่งที่น่าสนใจสำหรับทิศทางราคาน้ำมันคือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันรายวันมีระดับที่อยู่ในเกณฑ์สูงผิดปกติ (เกิน 7% ต่อวัน) มาหลายวันติดต่อกัน การเคลื่อนไหวลักษณะนี้ในยามที่สินทรัพย์นั้นกำลังปรับเพิ่มขึ้นสูง จัดเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของราคาที่ขึ้นสูงมากเกินไป รวมไปถึงกระแสการเก็งสถานการณ์สงครามทำให้สถานะ Call Option ราคาน้ำมัย Brent ส่งมอบเดือน ก.ค. ที่ราคาใช้สิทธิ์ 150 เหรียญนักลงทุนยังกล้าเข้าซื้อราคา Premium ที่ระดับ 9 เหรียญ (พุ่งขึ้นจากระดับ 1 เหรียญในเวลาเพียง 7 วัน) ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาน้ำมันอาจใกล้ถึงจุดคว่ำแล้วก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์สงครามรัสเซีบ ยูเครน ที่ยังมีความเสี่ยงสูง ขณะที่ฝั่ง OPEC เองก็ไม่มีทีท่าอยากจะเร่งเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ภาพใหญ่ราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นและวิกฤติพลังงานโลกก็ยังมีต่อไปจนกว่า จะเกิดเหตุการณ์เกมพลิก รัสเซียเจรจากับยูเครน โลกเลิกคว่ำบาตรรัสเซียและผลผลิตจากอิหร่านที่จะออกมามากขึ้นหลังการทำข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน
