ถือหุ้นกลุ่ม “เจมาร์ท” 3 เดือน
ราคาดิ่งยกแผง แรงสุดกว่า 34%
แต่โบรกฯ แนะ “ซื้อ” คาดปี 66 กำไรโตเด่นยกกลุ่ม

.
กลุ่ม JMART ถือเป็นกลุ่มที่นักลงทุนทั่วไปหลายๆคนจับตามองและให้ความสนใจ ด้วยศักยภาพการเติบโตของกำไรสุทธิทั้งบริษัทแม่อย่าง บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART และบริษัทในกุล่มบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ,บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER และบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J
.
แต่ราคาของกลุ่มดังกล่าวในช่วง 3 เดือนย้อนหลัง(วันที่ 27 ก.ค.65 ถึง 26 ม.ค.66) กลับไม่ได้รับสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับผลประกอบการมากนัก โดยเฉพาะหุ้น 3 ตัวนี้ SINGER ปรับตัวลดลงถึง 34.76% หรือราคาหุ้นลงมาอยู่ที่ 26.75 บาท ,JMT ปรับตัวลดลง27.85%หรือราคาหุ้นลงมาอยู่ที่ 53.75 บาท และ JMART ปรับตัวลดลงถึง 25.26% หรือราคาหุ้นลงมาอยู่ที่ 35.50 บาท
.
จึงอาจทำให้นักลงทุนตั้งข้อสงสัยและคำถาม ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นดังกล่าวที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรได้ดี และในจังหวะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจะเป็นโอกาสให้สะสมหรือควรจะลดสัดส่วนการลงทุน ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงได้ทำการรวบรวมคำแนะนำการลงทุนมาแบ่งปันกันในครั้งนี้
.
โดย JMART บทวิเคราะห์ของบล.โนมูระ พัฒนสิน ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 59 บาท ซึ่งราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงแรงสวนพื้นฐานที่ยังเดินหน้าเติบโตแข็งแกร่ง คงเป้าเป็น Tech Investment Holding Company ธุรกิจครบวงจรทั้งรีเทล,ไฟแนนซ์,เทคโนโลยี และยังมีอัพไซด์ประกาศลุ้นดีลใหม่ๆที่จะเข้ามาอีกในอนาคต
.
สำหรับแนวโน้มการเติบโตผลประกอบการของกลุ่มในอีก 3 ปีข้างหน้า ยังคงมีมุมมองเชิงบวกจากการเติบโตจากทุกบริษัทย่อยในเครือ ทั้งรูปแบบออแกนิคและอินออแกนิคโดยสัดส่วนหลักยังคงเป็น JMTและSINGER ทั้งนี้คาดการพัฒนา synergy จะทยอยเห็นผลบวกชัดเจนมากขึ้น
.
โดยคงประมาณการกำไรไตรมาส 4/65 ที่ 500 ล้านบาท (เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 25% ,(เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า 35%) ซึ่งจะหนุนกำไรปี 2565-2567 ที่ 1.8 พันล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 55%) ,2.5 พันล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 36%) และ 3.2 พันล้านบาท(เติบโตจากปีก่อนหน้า28%) ตามลำดับ
.
ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนกับพันธมิตรใหม่ในปีนี้ทั้ง TEENOI / PRTR / BRR / JGS / JAYDEE ที่จะทยอยรับรู้กำไรเข้ามาเต็มปีในปี 2566 ระดับ 200 ล้านบาท (เป็นอัพไซด์ให้ปี 2566 อีก 8% ) ซึ่งยังไม่รวมโอกาสในการต่อยอดเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ประกอบกับแผนการสร้างการทำงานให้กับกลุ่ม
.
ด้าน JMT บทวิเคราะห์ของบล.โนมูระ พัฒนสิน ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 86 บาท ซึ่งปรับราคาเป้าหมายลงจากเดิม 105 บาท จากการปรับประมาณการกำไรลงเฉลี่ย 20% แต่ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ในจุดที่น่าสะสม โดยรวมภาพกลาง-ยาวยังไปต่อได้ คงความเป็นผู้นำอุตสาหกรรม และลุ้นอัพไซด์ผลประกอบการ JK AMC ที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น
.
ทั้งนี้ ภาวะการซื้อหนี้ยังทำได้ต่ำในช่วง 9เดือนแรกปี 65 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาทจากเป้าทั้งปีที่ 1 หมื่นล้านบาทจึงปรับประมาณการใหม่เพื่อสะท้อนการชะลอตัวของการตัดขายหนี้เสียจากสถาบันการเงินโดยประมาณการใหม่อยู่ที่ 5 พันล้านบาท ในปี 2565 และ 8.0 พันล้านบาทในปี 2566 ส่งผลให้ปรับประมาณการกำไรใหม่ลงมาที่ 2 พันล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า36%) และ 2.8 พันล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 46%) ตามลำดับ
.
สุดท้าย SINGER บทงิเคราะห์ของบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 42 บาท เนื่องจากสินเชื่อปี 65 เติบโตได้เกินกว่าเป้าไปแล้ว ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าทั้งปีที่วางไว้ 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันการฟื้นตัวขึ้นของเศรษฐกิจ การเปิดสาขาใหม่เพิ่ม รวมไปถึงการลงทุนใน Ecosystem ของ BRR จะทำให้สินเชื่อของ SINGER เติบโตได้ต่อในปี 2566
.
ประกอบกับผลดีจากการนำ SGC เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งจะช่วยในการเติบโตของ SGC และทำให้ SINGER มีสภาพคล่องเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามการถือหุ้น SGC ที่ลดลง ทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรปี 2565 – 2566 ลงเหลือ 972 ล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1 พันล้านบาทและ 1.4 พันล้านบาท ตามลำดับ