กับดัก "หุ้นขาขึ้น" ระวัง "เล่นรอบ-ไม่กำไร"
ใครที่ติดหุ้นอยู่แถวดัชนีฯ ระดับ 1,540 จุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ถ้าไม่ Cut loss ไปแล้ว ก็คงกำลังรอลุ้นให้ตลาดดีดกลับไปให้ใกล้เคียงกับต้นทุนมากที่สุด ท่ามกลางภาวะตลาดที่ยิ่งสร้างความอึดอัดมากขึ้นในช่วงนี้ คือ หุ้นลงก็ไม่ลงเป็นเทรนด์ชัด แต่ขณะฟื้นก็ดีดกลับแบบถูกแรงขายสกัดตลอด
และในช่วงที่หุ้น “บิ๊กไซส์” เป็นเป้าขายทำกำไรของนักลงทุนในภาวะแบบนี้ หุ้น “ไซส์เล็ก” ก็ยังสร้างความหวือหวาให้กับรายย่อย ด้วยการเทรดที่วนเวียนเลือกหุ้นเก็งกำไร ทั้งที่มี Theme ชัดเจนรองรับ หรือประเภทที่ขึ้นมาแบบหาเหตุผลไม่พบ
แม้แรงขายจะกดดันตลาดหุ้นไทย แต่ใน trade sessions ล่าสุดพบว่าหุ้นกลุ่มที่เป็น Domestic play ในส่วนค้าปลีก อย่างเช่น HMPRO CPALL CPN และ ROBINS แม้จะถูกแรงขายตามภาพตลาดโดยรวมหลังเปิดตลาดช่วงแรก แต่ก็กลับมีแรงซื้อกลับเข้ามาตลอด จนยันราคาไม่เปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่บวกได้ช่วงปิดตลาด
สอดคล้องกับมุมมองของบางโบรกเกอร์ก่อนหน้านี้ ที่มองว่าในช่วงที่หุ้นขนาดใหญ่เข้าสู่ช่วงพักฐาน เช่นเดียวกับ SET INDEX แต่หุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่เน้นการบริโภคภายในประเทศจะยังเป็นเป้าหมายการสะสมหุ้น
นักวิเคราะห์ “ธนชาต” มองหุ้นที่การบริโภคเร่งตัว และกำไรไตรมาส 3 โดดเด่น แนะนำหุ้นอย่าง BEAUTY BJC และ CPALL รวมทั้งกลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำระยะยาว อย่าง KTC ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่าอยู่ในช่วงเพิ่ม market share และ THANI ที่ดูยัง Laggard หุ้น Leasing ขนาดใหญ่อย่าง TISCO และ KKP
หุ้นที่บวกโดดเด่นในวันจันทร์ ยังรวมถึงหุ้นโรงพยาบาลขนาดเล็กที่เพิ่งเข้าเทรดเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นั่นคือ RJH หรือ “โรงพยาบาลราชธานี” ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนใน จ.พระนครศรีอยุธยา กับราคาหุ้นที่วิ่งทิ้งห่างราคาไอพีโอ 16 บาทขึ้นไปอยู่ที่ 22.70 บาทแล้ว
RJH ยังมี sentiment บวกจากรายงานการเข้าเก็บหุ้นเพิ่มโดยกองทุนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มเติมด้วยการเก็งผลบวกช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจโรงพยาบาลในช่วงครึ่งปีหลัง กับแนวโน้มรายได้ปีนี้ทั้งปี ที่ผู้บริหารบอกว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย คือ เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,034 ล้านบาท
และนอกเหนือจากหุ้นกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศจะได้รับความสนใจแล้ว ยังพบว่าหุ้นส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง KCE ก็มีวอลุ่มเทรดเพิ่มขึ้นด้วย โดยราคาหุ้นระหว่างวัน ขึ้นไปแตะนิวไฮนับตั้งแต่เข้าตลาดฯ หรือเมื่อ 28 ปีที่แล้ว กับแรงเก็งผลงานเติบโต มาร์จิ้นดีต่อเนื่อง และความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์
นักวิเคราะห์ "กสิกรไทย" ระบุอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของ KCE ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นจาก economies of scale โดยมองทิศทาง GPM จะยังดีต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 2559 ส่วนปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตต่อไปคือ การขยายกำลังการผลิตใหม่ ซึ่งจะพร้อมดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในไตรมาสแรก ปี 2560
โบรกเกอร์รายนี้มอง KCE มีทิศทางกำไรที่แข็งแกร่ง พร้อมคาดการณ์เติบโตเฉลี่ยที่ 20.6% ในปี 2560-61 จากแรงหนุนการขยายโรงงาน โดยให้ราคาเหมาะสมทางพื้นฐานที่ 114.00 บาท
ทิศทางการดำเนินงานของ KCE ยังถูกสนับสนุนจากการมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับแผ่นวงจรพิมพ์ (PCBs) สำหรับยานยนต์ ตามแนวโน้มการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในรถยนต์มากขึ้น
*********************************
ทีม Business&Finance , Money Channel