เมื่อ “สิงโต” คำราม: วิเคราะห์ความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน และผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน
สวัสดีค่ะนักลงทุนทุกท่าน วันนี้เรามาคุยกันถึงประเด็นร้อนที่กำลังทำให้ตลาดการเงินโลกสั่นสะเทือน นั่นคือความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่กำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง พร้อมวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราอย่างไรและควรทำตัวยังไงค่ะ

จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง: เมื่อมิตรเก่ากลายเป็นศัตรู
เชื่อไหมคะว่าอิสราเอลกับอิหร่านเคยเป็นพันธมิตรกันมาก่อน? ใช่ค่ะ! ในยุคของชาห์โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (ช่วงปี 1950s) สองประเทศนี้เคยร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ทุกอย่างพลิกผันเมื่อเกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านปี 1979
ผู้นำอิหร่านชุดใหม่ประกาศว่าอิสราเอลคือ “ศัตรูของโลกอิสลาม” และเริ่มสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ที่ต่อต้านอิสราเอล อย่าง Hamas, Hezbollah และกลุ่ม Houthi ในเยเมน ซึ่งสหรัฐฯ จัดว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย
แต่ที่ทำให้อิสราเอลนอนไม่หลับจริงๆ คือ โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
อิสราเอลมองว่านี่คือภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของประเทศ และพร้อมที่จะใช้กำลังทหารหยุดยั้งหากจำเป็น เหมือนที่เคยทำกับอิรักในปี 1981 และซีเรียในปี 2007
การปะทะโดยตรง: จากเงามืดสู่แสงสว่าง
ในเดือนเมษายน 2024 ความขัดแย้งที่เคยซ่อนอยู่ในเงามืดก็ปะทุขึ้นสู่ผิวน้ำ เมื่ออิหร่านยิงขีปนาวุธและโดรนกว่า 300 ลูกใส่อิสราเอล! นี่เป็นการโจมตีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่า 99% จะถูกสกัดกั้นได้ แต่ก็สร้างบรรทัดฐานใหม่ของการทำสงครามแบบเปิดเผย
และในเดือนกรกฎาคม 2024 อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยการลอบสังหาร Ismail Haniyeh ผู้นำทางการเมืองของ Hamas ถึงในกรุงเตหะราน ตามด้วยการแลกกันยิงขีปนาวุธอีกรอบในเดือนตุลาคม
บทเรียนจากอดีต: ตลาดการเงินตอบสนองอย่างไรต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
มาดูกันค่ะว่าในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาอย่างไร
ตลาดหุ้น (S&P 500)
จากข้อมูลในอดีต พบว่า:
ปฏิกิริยาแรก: โดยเฉลี่ยตลาดหุ้นจะปรับตัวลง -1.1% ในวันแรกที่เกิดเหตุการณ์
จุดต่ำสุด: มักจะเกิดขึ้นภายใน 19 วัน โดยปรับตัวลงเฉลี่ย -4.8%
การฟื้นตัว: ใช้เวลาเฉลี่ย 42 วันในการกลับมาที่ระดับเดิม
ตัวอย่างที่น่าสนใจ
สงครามอ่าวเปอร์เซีย 1991: S&P 500 ร่วง -16.9% หลังอิรักบุกคูเวต แต่พอเริ่ม Operation Desert Storm และเห็นว่าพันธมิตรจะชนะ ตลาดกลับพุ่งขึ้น 17.63% ใน 4 สัปดาห์
สงครามอิรัก 2003: ตลาดร่วงแค่ -5.3% และฟื้นตัวภายใน 16 วันทำการ เพราะนักลงทุนคาดการณ์สงครามไว้ล่วงหน้าแล้ว
สงคราม Israel-Hamas 2023: ตลาดร่วง -4.5% แต่ฟื้นตัวภายใน 3 สัปดาห์
ราคาน้ำมัน
นี่คือสินทรัพย์ที่ไวต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลางมากที่สุดค่ะ โดย Pattern ที่เห็นชัดคือ
ถ้ากระทบ Supply โดยตรง: ราคาพุ่งได้ 20-100% ภายในไม่กี่วัน
ระยะเวลา: มักเป็นการพุ่งระยะสั้น ถ้าไม่มีการขยายวงสงคราม
ตัวอย่างสุดโต่ง:
- Oil Embargo 1973: ราคาน้ำมันพุ่งจาก $3 เป็น $11 ต่อบาร์เรล (+300%!)
- การปฏิวัติอิหร่าน 1979: ราคาพุ่งจาก $15.85 เป็น $39.50 (+150%)
- สงครามอ่าวฯ 1990: พุ่งจาก $20 เป็น $46 (+130%) แต่ร่วงกลับมาเร็วมากเมื่อเห็นว่าสงครามจะจบเร็ว
ราคาทองคำ
ทองคำทำหน้าที่เป็น Safe Haven (สินทรัพย์ปลอดภัย) ได้อย่างสม่ำเสมอ รูปแบบที่พบคือ
ราคาขึ้นทันทีเมื่อเกิดความขัดแย้ง ส่วนขนาดการปรับขึ้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงค่ะ 5-15% สำหรับความขัดแย้งระยะสั้น, 50%+ สำหรับวิกฤตใหญ่ และมักจะถึงจุดสูงสุดเร็ว แล้วค่อยๆ ลงถ้าสถานการณ์ไม่บานปลาย
ตัวอย่าง:
- วิกฤตน้ำมัน 1973-74: ทองคำพุ่งจาก $64 เป็น $154 ต่อออนซ์ (+140%)
- Arab Spring 2011: ทองคำทำ New High ที่ $1,921 ต่อออนซ์
- สงคราม Israel-Hamas 2023: ทองคำขึ้น 8% ไปแตะ $1,985 ต่อออนซ์
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งปัจจุบัน
Scenario 1: ความขัดแย้งจำกัดวง
ถ้าสงครามไม่ขยายวง ผลกระทบจะจำกัด เพราะ ทั้งอิสราเอลและอิหร่านไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ขณะที่ Supply และ Demand ของน้ำมันโลกค่อนข้างสมดุล (ต่างจากตอนรัสเซียบุกยูเครน) และตลาดสามารถรับมือกับ disruption ระดับปานกลางได้
Scenario 2: สงครามขยายวง
ถ้าเกิดการขยายวงสงคราม โดยเฉพาะถ้า
- ช่องแคบ Hormuz ถูกปิด: ที่นี่เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 20% ของโลก
- อิหร่านเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ: อิหร่านผลิตน้ำมัน 4% ของโลก
- ประเทศอาหรับอื่นๆ เข้าร่วม: อาจทำให้เกิด Oil Embargo แบบปี 1973
ผลที่ตามมาคือ
- น้ำมันอาจพุ่งเกิน $100 ต่อบาร์เรล
- เงินเฟ้อพุ่ง ธนาคารกลางต้องชะลอการลดดอกเบี้ย
- ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลงแรง 10-20%
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน
1. “อย่าตื่นตระหนก แต่อย่าประมาท”
จากประวัติศาสตร์ การขายทิ้งตอนเกิดวิกฤตมักเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ตลาดมักฟื้นตัวได้ภายใน 1-2 เดือน ยกเว้นวิกฤตจะรุนแรงมากจริงๆ
2. “Diversification คือกุญแจสำคัญ”
กระจายการลงทุน: อย่าทุ่มทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว
มีทองคำในพอร์ต 5-10%: เพื่อเป็น hedge ต่อความเสี่ยง
พิจารณาหุ้นพลังงาน: อาจได้ประโยชน์ถ้าราคาน้ำมันพุ่ง
3. “ติดตามข่าว แต่อย่าให้อารมณ์นำ”
ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ
- การเจรจาทางการทูต
- ท่าทีของประเทศมหาอำนาจ (สหรัฐฯ, รัสเซีย, จีน)
- ราคาน้ำมันและทองคำ
แต่อย่าตัดสินใจลงทุนตามอารมณ์หรือข่าวลือ
4. “มองหาโอกาส”
ถ้าตลาดร่วงแรง: อาจเป็นโอกาสซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาถูก
ถ้าน้ำมันพุ่ง: หุ้นพลังงานทดแทนอาจได้ประโยชน์ระยะยาว
Dollar Cost Average: ทยอยซื้อเพื่อเฉลี่ยต้นทุน
สรุป: “อดีตคือครู แต่อนาคตไม่จำเป็นต้องซ้ำรอย”
จากข้อมูลในอดีต เราเห็นว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางมักสร้างความผันผวนระยะสั้นแต่ไม่ทำลายตลาดระยะยาว ตลาดหุ้นมักฟื้นตัวภายใน 42 วัน น้ำมันและทองคำอาจพุ่งแรง แต่มักกลับมาสู่ระดับปกติเมื่อความกังวลคลี่คลาย
อย่างไรก็ตาม ทุกวิกฤตมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วิกฤตครั้งนี้อาจแตกต่างเพราะ:
- อิหร่านใกล้จะมีอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น
- ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนไป (จีนมีบทบาทมากขึ้น)
- เทคโนโลยีสงครามพัฒนาไปมาก (โดรน, ไซเบอร์)
คำแนะนำสุดท้ายคือ “ลงทุนด้วยแผน ไม่ใช่ด้วยความกลัว”
วางแผนการลงทุนระยะยาว มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี และพร้อมรับมือกับความผันผวน จะช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างแข็งแกร่งค่ะ
ส่วนแอดก็นั่งดูเฉยๆ ถ้ามีโอกาสค่อยซื้อตัวที่เล็งไว้เพิ่มค่ะ
ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก… Beauty Investor