ห้องเม่าปีกเหล็ก

วิเคราะห์ความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน และผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน

โดย me too
เผยแพร่ :
37 views

เมื่อ “สิงโต” คำราม: วิเคราะห์ความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน และผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน

สวัสดีค่ะนักลงทุนทุกท่าน วันนี้เรามาคุยกันถึงประเด็นร้อนที่กำลังทำให้ตลาดการเงินโลกสั่นสะเทือน นั่นคือความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่กำลังปะทุขึ้นอีกครั้ง พร้อมวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราอย่างไรและควรทำตัวยังไงค่ะ

 

 

จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง: เมื่อมิตรเก่ากลายเป็นศัตรู

เชื่อไหมคะว่าอิสราเอลกับอิหร่านเคยเป็นพันธมิตรกันมาก่อน? ใช่ค่ะ! ในยุคของชาห์โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (ช่วงปี 1950s) สองประเทศนี้เคยร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น แต่ทุกอย่างพลิกผันเมื่อเกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านปี 1979

ผู้นำอิหร่านชุดใหม่ประกาศว่าอิสราเอลคือ “ศัตรูของโลกอิสลาม” และเริ่มสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ที่ต่อต้านอิสราเอล อย่าง Hamas, Hezbollah และกลุ่ม Houthi ในเยเมน ซึ่งสหรัฐฯ จัดว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย

แต่ที่ทำให้อิสราเอลนอนไม่หลับจริงๆ คือ โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน 

 

อิสราเอลมองว่านี่คือภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของประเทศ และพร้อมที่จะใช้กำลังทหารหยุดยั้งหากจำเป็น เหมือนที่เคยทำกับอิรักในปี 1981 และซีเรียในปี 2007

 

การปะทะโดยตรง: จากเงามืดสู่แสงสว่าง

ในเดือนเมษายน 2024 ความขัดแย้งที่เคยซ่อนอยู่ในเงามืดก็ปะทุขึ้นสู่ผิวน้ำ เมื่ออิหร่านยิงขีปนาวุธและโดรนกว่า 300 ลูกใส่อิสราเอล! นี่เป็นการโจมตีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่า 99% จะถูกสกัดกั้นได้ แต่ก็สร้างบรรทัดฐานใหม่ของการทำสงครามแบบเปิดเผย

และในเดือนกรกฎาคม 2024 อิสราเอลก็ตอบโต้ด้วยการลอบสังหาร Ismail Haniyeh ผู้นำทางการเมืองของ Hamas ถึงในกรุงเตหะราน ตามด้วยการแลกกันยิงขีปนาวุธอีกรอบในเดือนตุลาคม

 

บทเรียนจากอดีต: ตลาดการเงินตอบสนองอย่างไรต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

มาดูกันค่ะว่าในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ตลาดการเงินมีปฏิกิริยาอย่างไร

 

ตลาดหุ้น (S&P 500)

 

จากข้อมูลในอดีต พบว่า:

ปฏิกิริยาแรก: โดยเฉลี่ยตลาดหุ้นจะปรับตัวลง -1.1% ในวันแรกที่เกิดเหตุการณ์

จุดต่ำสุด: มักจะเกิดขึ้นภายใน 19 วัน โดยปรับตัวลงเฉลี่ย -4.8%

การฟื้นตัว: ใช้เวลาเฉลี่ย 42 วันในการกลับมาที่ระดับเดิม

 

ตัวอย่างที่น่าสนใจ

สงครามอ่าวเปอร์เซีย 1991: S&P 500 ร่วง -16.9% หลังอิรักบุกคูเวต แต่พอเริ่ม Operation Desert Storm และเห็นว่าพันธมิตรจะชนะ ตลาดกลับพุ่งขึ้น 17.63% ใน 4 สัปดาห์

สงครามอิรัก 2003: ตลาดร่วงแค่ -5.3% และฟื้นตัวภายใน 16 วันทำการ เพราะนักลงทุนคาดการณ์สงครามไว้ล่วงหน้าแล้ว

สงคราม Israel-Hamas 2023: ตลาดร่วง -4.5% แต่ฟื้นตัวภายใน 3 สัปดาห์

 

ราคาน้ำมัน

นี่คือสินทรัพย์ที่ไวต่อความขัดแย้งในตะวันออกกลางมากที่สุดค่ะ โดย Pattern ที่เห็นชัดคือ

ถ้ากระทบ Supply โดยตรง: ราคาพุ่งได้ 20-100% ภายในไม่กี่วัน

ระยะเวลา: มักเป็นการพุ่งระยะสั้น ถ้าไม่มีการขยายวงสงคราม

 

ตัวอย่างสุดโต่ง:

- Oil Embargo 1973: ราคาน้ำมันพุ่งจาก $3 เป็น $11 ต่อบาร์เรล (+300%!)

- การปฏิวัติอิหร่าน 1979: ราคาพุ่งจาก $15.85 เป็น $39.50 (+150%)

- สงครามอ่าวฯ 1990: พุ่งจาก $20 เป็น $46 (+130%) แต่ร่วงกลับมาเร็วมากเมื่อเห็นว่าสงครามจะจบเร็ว

 

ราคาทองคำ

 

ทองคำทำหน้าที่เป็น Safe Haven (สินทรัพย์ปลอดภัย) ได้อย่างสม่ำเสมอ รูปแบบที่พบคือ

ราคาขึ้นทันทีเมื่อเกิดความขัดแย้ง ส่วนขนาดการปรับขึ้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงค่ะ 5-15% สำหรับความขัดแย้งระยะสั้น, 50%+ สำหรับวิกฤตใหญ่ และมักจะถึงจุดสูงสุดเร็ว แล้วค่อยๆ ลงถ้าสถานการณ์ไม่บานปลาย

 

ตัวอย่าง:

- วิกฤตน้ำมัน 1973-74: ทองคำพุ่งจาก $64 เป็น $154 ต่อออนซ์ (+140%)

- Arab Spring 2011: ทองคำทำ New High ที่ $1,921 ต่อออนซ์

- สงคราม Israel-Hamas 2023: ทองคำขึ้น 8% ไปแตะ $1,985 ต่อออนซ์

 

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งปัจจุบัน

 

Scenario 1: ความขัดแย้งจำกัดวง

ถ้าสงครามไม่ขยายวง ผลกระทบจะจำกัด เพราะ ทั้งอิสราเอลและอิหร่านไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ขณะที่ Supply และ Demand ของน้ำมันโลกค่อนข้างสมดุล (ต่างจากตอนรัสเซียบุกยูเครน) และตลาดสามารถรับมือกับ disruption ระดับปานกลางได้

 

Scenario 2: สงครามขยายวง

ถ้าเกิดการขยายวงสงคราม โดยเฉพาะถ้า

- ช่องแคบ Hormuz ถูกปิด: ที่นี่เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 20% ของโลก

- อิหร่านเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ: อิหร่านผลิตน้ำมัน 4% ของโลก

- ประเทศอาหรับอื่นๆ เข้าร่วม: อาจทำให้เกิด Oil Embargo แบบปี 1973

 

ผลที่ตามมาคือ

- น้ำมันอาจพุ่งเกิน $100 ต่อบาร์เรล

- เงินเฟ้อพุ่ง ธนาคารกลางต้องชะลอการลดดอกเบี้ย

- ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลงแรง 10-20%

 

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

1. “อย่าตื่นตระหนก แต่อย่าประมาท”

จากประวัติศาสตร์ การขายทิ้งตอนเกิดวิกฤตมักเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ตลาดมักฟื้นตัวได้ภายใน 1-2 เดือน ยกเว้นวิกฤตจะรุนแรงมากจริงๆ

2. “Diversification คือกุญแจสำคัญ”

กระจายการลงทุน: อย่าทุ่มทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว

มีทองคำในพอร์ต 5-10%: เพื่อเป็น hedge ต่อความเสี่ยง

พิจารณาหุ้นพลังงาน: อาจได้ประโยชน์ถ้าราคาน้ำมันพุ่ง

3. “ติดตามข่าว แต่อย่าให้อารมณ์นำ”

ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ

- การเจรจาทางการทูต

- ท่าทีของประเทศมหาอำนาจ (สหรัฐฯ, รัสเซีย, จีน)

- ราคาน้ำมันและทองคำ

แต่อย่าตัดสินใจลงทุนตามอารมณ์หรือข่าวลือ

4. “มองหาโอกาส”

ถ้าตลาดร่วงแรง: อาจเป็นโอกาสซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาถูก

ถ้าน้ำมันพุ่ง: หุ้นพลังงานทดแทนอาจได้ประโยชน์ระยะยาว

Dollar Cost Average: ทยอยซื้อเพื่อเฉลี่ยต้นทุน

 

สรุป: “อดีตคือครู แต่อนาคตไม่จำเป็นต้องซ้ำรอย”

จากข้อมูลในอดีต เราเห็นว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางมักสร้างความผันผวนระยะสั้นแต่ไม่ทำลายตลาดระยะยาว ตลาดหุ้นมักฟื้นตัวภายใน 42 วัน น้ำมันและทองคำอาจพุ่งแรง แต่มักกลับมาสู่ระดับปกติเมื่อความกังวลคลี่คลาย

อย่างไรก็ตาม ทุกวิกฤตมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วิกฤตครั้งนี้อาจแตกต่างเพราะ:

- อิหร่านใกล้จะมีอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น

- ภูมิรัฐศาสตร์โลกเปลี่ยนไป (จีนมีบทบาทมากขึ้น)

- เทคโนโลยีสงครามพัฒนาไปมาก (โดรน, ไซเบอร์)

 

คำแนะนำสุดท้ายคือ “ลงทุนด้วยแผน ไม่ใช่ด้วยความกลัว” 

วางแผนการลงทุนระยะยาว มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี และพร้อมรับมือกับความผันผวน จะช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างแข็งแกร่งค่ะ

ส่วนแอดก็นั่งดูเฉยๆ ถ้ามีโอกาสค่อยซื้อตัวที่เล็งไว้เพิ่มค่ะ

 

ที่มาข้อมูลเนื้อหาจาก…  Beauty Investor


me too