ห้องเม่าปีกเหล็ก

หุ้นปันผลชี้ช่องรวย หรือแค่เพ้อฝันไป

โดย dave
เผยแพร่ :
128 views

หุ้นปันผลชี้ช่องรวย หรือแค่เพ้อฝันไป

 

ก่อนหน้านี้มีโอกาสได้เจอ comment อันหนึ่งในกลุ่มเกี่ยวกับการลงทุนใน Facebook พูดในเชิงที่ว่า “จะลงทุนในกองทุนให้เสียค่าธรรมเนียมไปทำไม ลงทุนในหุ้นปันผลเยอะๆใน SETHD ดีกว่า !” พออ่านแล้วเราก็คิดในใจว่า “เออเว้ยเห้ยย น่าสนใจดี” ลงทุนในหุ้นที่ปันผลงามๆ กินปันผลไปเรื่อยๆ ก็ฟังดูน่าจะเป็นชีวิตการลงทุนที่ดีไม่น้อย ≧(´▽`)≦ เลยเกิดไอเดียที่ว่า งั้นเรามา Back test หรือจำลองการลงทุนในอดีตกันหน่อยดีกว่า ว่าการที่เราลงทุนในหุ้นปันผล ที่อยู่ใน SETHD มันดีกว่าจริงๆ หรือเป็นแค่ความเชื่อ !

ว่าแต่ SETHD คืออิหยัง ?

แต่ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับคุณ SETHD หรือ SET High Dividend กันสักหน่อยก่อน ว่าเป็นใครมาจากไหน

 

ที่มา: Stock Exchange of Thailand

การที่หุ้นตัวหนึ่งจะมาอยู่ใน SETHD ได้นั้นต้องเป็นหุ้นที่สืบเชื้อสายมาจาก SET100 โดยเป็นหุ้นที่มีการปันผลอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง และมี Dividend Payout Ratio หรืออัตราการจ่ายปันผลต่อกำไรสุทธิ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังไม่เกิน 100% หรือก็คือเฉลี่ยแล้วเงินปันผลต้องไม่มากกว่ากำไรสุทธิ แต่ถ้าเอาคำแปลที่ง่ายกว่านี้อีกก็คือ ปันผลต้องเป็นเงินที่มาจากกำไรของบริษัทนั่นเอง ส่วนสำหรับเพื่อนๆที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ หลักเกณฑ์การจัดทำดัชนีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

มาสร้างพอร์ตรวยปันผลกันเร็ววว ~

หลังจากที่ทำความรู้จักกับ SETHD กันไปในระดับนึงแล้ว ก็มาถึงส่วนที่เราต้องตัดสินใจว่าจะจัด “พอร์ตรวยปันผล”ด้วยหุ้นใน SETHD อย่างไร โดยในบทความนี้เราขอเลือกที่จะใช้หลักการเดียวกันกับการคำนวณ SETHD Index ซึ่งก็คือการให้น้ำหนัก หรือสัดส่วนการลงทุนตาม Market Capital หรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ผสมผสานกับ Dividend Yield หรืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลนั่นเอง เช่นตอนวันที่ 1 มกราคม 2015 หุ้น SCB มีน้ำหนักในการคำนวณ SETHD Index อยู่ที่ประมาณ 13.47% เราก็จะซื้อหุ้น SCB เป็นสัดส่วนเดียวกันนั่นเอง โดยที่ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่มาจาก Bloomberg (แพงมว๊ากกกกกก) ซึ่งสามารถเชื่อถือได้

ดี ไม่ดี มันดูยังไง ?

ในการทดสอบครั้งนี้เราจะวัดผลโดยการดูว่าการลงทุนในพอร์ตที่เราสร้างขึ้นมาด้วยเทคนิคข้างต้นนี้จะงอกเงยผลตอบแทนเป็นเท่าไหร่หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 1 ปี หรือก็คือการลงทุนแล้วถือยาว 1 ปี นั่นเอง แต่แน่นอนว่าในระหว่างช่วงระยะเวลา 1 ปีนี้ ถ้าเราได้รับปันผลมาแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉยๆก็จะเป็นการเสียโอกาสโดยใช่เหตุ ในการทดสอบ Back test ครั้งนี้เราจึงนำเงินปันผลที่ได้รับมาทุกๆครั้ง ไปลงทุนต่อในหุ้นนั้นๆที่ปันผล

นี่มันชี้ช่องรวย!

หลังจากที่มีวิธีการสร้างพอร์ตการลงทุน หรือ Strategy และวิธีการวัดผลกันแล้ว เรามาดูกันดีต่อว่าพอร์ตการลงทุนของเราที่จัดจาก SETHD Index เป็นอย่างไรกัน

แน่นอนว่าทางสถิติแล้วการวัดผลหลายๆครั้งจะช่วยให้ได้บทสรุป หรือผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือมากกว่าการวัดผลเพียงไม่กี่ครั้ง ในการทดสอบ Back test นี้เราจึงได้จัดสร้างพอร์ตใหม่ทุกๆเดือน โดยที่แต่ละพอร์ตจะถูกวัดผลแยกกันตามวิธีที่ได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างเช่น พอร์ตที่ลงทุนตอน 1 มกราคม 2015 ก็จะถือยาวไปถึง 1 มกราคม 2016 ในขณะที่พอร์ตตอน 1 ธันวาคม 2015 ก็จะถือยาวไปถึง 1 ธันวาคม 2016 นั่นเองง

 

 

จะเห็นได้ว่าจากการ Back test จะมีช่วงที่กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง อย่าง “พอร์ตรวยปันผล” ที่สร้างตอน 1 มกราคม 2014 ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 17% จากการลงทุนเป็นระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น (วัดผลตอน 1 มกราคม 2015) อย่างไรก็ตาม “พอร์ตรวยปันผล” โดยเฉลี่ยแล้วความสามารถสร้างผลตอบแทนจากการถือครอง 1 ปี อยู่ที่ 5.91% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ใช่จริงหรือเปล่า ?

แต่ว่าการดูเพียงแค่ผลลัพธ์ “พอร์ตรวยปันผล” เท่านี้ คงยังไม่สามารถตอบได้ว่า Strategy ที่ว่ามานี้เป็นที่ดีหรือไม่ เราจึงต้องมีอีก Portfolio หนึ่งมาวัดกัน หมัดต่อหมัดให้ชัดว่าใครกันแน่ที่เจ๋งกว่ากัน ซึ่งในบทความนี้เราขอจัดเป็นศึกสายเลือดของ SETHD ซึ่งก็คือ SET50 นั่นเองงงง โดยตัวแทนการลงทุนในหุ้น SET50 จะเป็นกองทุนดัชนีSCBSET50 เพราะโดยเฉลี่ยแล้วมีค่าธรรมเนียมในการลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ

 

 

หลังจากที่มีคู่แข่งเข้ามาในกราฟเดียวกันก็ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่า อันที่จริงๆแล้วการลงทุนใน SETHD ไม่ค่อยแตกต่างจากการลงทุนในกองทุนดัชนี SCBSET50 มากนัก โดยถ้าดูจากกราฟแท่งสีเทาที่คำนวณมาจากความต่างระหว่างผลตอบแทนของ “พอร์ตรวยปันผล” ลบกับผลตอบแทนของ กองทุนดัชนี SCBSET50 ถึงจะมีช่วงเวลาที่ชนะบ้างแพ้บ้าง แต่ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว “พอร์ตรวยปันผล” จะเป็นฝ่ายแพ้ซะมากกว่า ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะมีผลตอบแทนจากการถือครองที่น้อยกว่าถึง 3.32% เมื่อเทียบกับ SCBSET50

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เพียงแค่การเลือกลงทุนในหุ้นที่ให้ปันผลดีและสม่ำเสมอนั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะพาเราไปสู่ความมั่งคั่ง การวัดผลที่ดีควรมีตัวเปรียบเทียบ เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น และสิ่งสำคัญที่สุดที่อยากฝากทิ้งท้ายไว้คือ การลงทุนควรมีพื้นฐานมาจากความรู้ ความเข้าใจ หาใช่ความเชื่อที่ล่องลอย

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave