ทำไมราคาน้ำมันในไทยแตกต่างกับราคาในตลาดโลก ?

.
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงมากในขณะนี้ก็คงเป็นเรื่องราคาน้ำมันที่ขึ้นสูงเอา ๆ เพราะน้ำมันถือเป็นทรัพยากรพื้นฐานของการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการใช้งานหลากหลาย ทั้งการเดินทาง ขนส่งสินค้า รวมไปถึงเป็นปัจจัยการผลิตที่มีผลต่อต้นทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของน้ำมันส่งผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในภาพรวม
.
ซึ่งก็มีคำถามต่อมาว่า ทำไมเมื่อราคาน้ำมันดิบโลกปรับลง แต่ราคาน้ำมันค้าปลีกในไทยกลับปรับลงน้อยกว่าตลาดโลก ต้องเข้าใจก่อนว่าแม้จะเป็นน้ำมันเหมือนกัน แต่มีที่มาที่ไปต่างกัน เพราะน้ำมันที่เราเติมกันนั้น ประกอบด้วยต้นทุนมากมายไม่ใช่แค่ต้นทุนน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันโลกอ้างอิงจากน้ำมันดิบโดยตรง แต่ราคาน้ำมันของไทยอ้างอิงจากราคาน้ำมันสำเร็จรูป ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันดิบอีกที น้ำมันสำเร็จรูปเช่น เบนซิน ดีเซล
.
โครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในไทย ประกอบด้วยต้นทุนต่าง ๆ ได้แก่
.
1. #ราคาหน้าโรงกลั่น หรือ ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (ประมาณ 40%-60%)
โดยไทยอ้างอิงจากราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามสิงคโปร์เนื่องจากเป็นตลาดกลางในภูมิภาคนี้
.
2. #ภาษีและเงินกองทุนต่าง ๆ (ประมาณ 35 - 60%)
ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล 10% ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากค่าการตลาด เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ เงินกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
.
3. #ค่าการตลาด (ประมาณ 10 - 18%)
ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ รวมถึงการให้บริการของสถานีเติมน้ำมันให้กับประชาชน
.
ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้น ราคาน้ำมันในประเทศอาจจะขึ้นในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน เนื่องจากหากราคาปรับขึ้นมามาก กองทุนน้ำมันจะเข้าไปพยุงให้ราคาปรับขึ้นไม่มากนัก และอาจจะมีการลดอัตราภาษีที่จัดเก็บ
.
กลับกัน เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ราคาน้ำมันในประเทศไทยอาจไม่ลดลงในทันทีหรือมีสัดส่วนการลดลงที่ไม่เท่ากับตลาดโลก เนื่องจากต้องนำเงินส่วนหนึ่งจ่ายเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อชดเชยส่วนที่ได้พยุงราคาไปก่อนหน้านี้ และเพื่อเก็บเป็นทุนสำรองสำหรับไว้ใช้ในอนาคาเมื่อราคาน้ำมันมีความผันผวนนั่นเอง
.
References
.