เปิดโผ 4 หุ้นเกษตร-อาหาร
“ผู้อยู่รอด” ท่ามกลางส่งออกของไทยที่ท้าทาย

.
ภาพรวมการส่งออกในปี 2567 ยังคงมีความท้าทาย แม้ปีที่ผ่านมาจะออกมาติดลบเล็กน้อย เนื่องจากความตึงเครียดในทะเลแดงทำให้การส่งออกสินค้าหลักไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญได้รับผลกระทบ แต่นักวิเคราะห์มองว่ายังมีกลุ่มสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบน้อย และนักลงทุนยังสามารถเข้าเก็งกำไรได้ ซึ่งหุ้นกลุ่มนั้นจะมีอะไรบ้าง Wealthy Thai มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝาก
.
โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกไทยทั้งปี 2566 ติดลบเพียง 1.0% จากปีก่อน โดยเดือนธ.ค. เติบโตที่ 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 6% จากสินค้าเกษตรที่พลิกกลับมาหดตัว แต่สินค้าที่ยังโตดี ได้แก่ ข้าว, ยางแท่งส่งออกไปจีน และไก่แปรรูปพลิกกลับมาโตได้ในรอบ 13 เดือน ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องที่ 3.6% และ 5.0% ตามลำดับ
.
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า กระทรวงพาณิชย์คาดว่ายอดส่งออกไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ที่ราว 1-2% ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์มองว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างมีความท้าทาย หากประเมินจากสถานการณ์ความตึงเครียดในทะเลแดงที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้าหลักไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ
.
เนื่องจากต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้นอาจส่งผ่านไปยังผู้นำเข้าและทำให้อุปสงค์ลดลง ซึ่งสินค้าที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม เช่น คอมพิวเตอร์, รถยนต์, สินค้าอัญมณี และเครื่องจักรการเกษตร ดังนั้นการส่งออกสินค้ากลุ่มเกษตรมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวน้อยกว่าและยังมีแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
.
ฝ่ายวิเคราะห์จึงมองว่าสินค้าเกษตรที่การส่งออกเติบโตได้ดี ยังเป็นตัวเลือกในการเก็งกำไรได้ เช่น STA, NER, KSL และ GFPT นอกจากนี้ดุลการค้าที่พลิกกลับมาเกินดุล หนุนทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น จะเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มที่มีหนี้หรือโครงสร้างต้นทุนเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น AAV, BA, GULF และ BGRIM รวมไปถึง Fund Flow ที่มีโอกาสไหลกลับเข้ามาจะเป็นบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ เช่น SCC, SCB, KBANK และ CPALL
.
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มสินค้าเกษตรน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าและยังมีแรงหนุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ดังนั้นมาดูปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทว่าจะเป็นอย่างไร
.
มาเริ่มที่ STA บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/67 ฟื้นตัวต่อจากแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยยางที่คาดจะฟื้นดีขึ้นตามราคายางในตลาด SICOM โดยคงมุมมองต่อการดำเนินธุรกิจ คาดในปี 2567 จะพลิกกลับมามีกำไรได้อีกครั้งที่ 1,120 ล้านบาท จากราคาขายและปริมาณขายที่ดีขึ้น
.
พร้อมปรับผลการประเมินด้าน ESG ขึ้นเป็นระดับ AAA ส่งผลให้ราคาเป้าหมายของ STA ปรับขึ้นเป็น 17.90 บาท มี Upside gain 9.1% คงคำแนะนำ เก็งกำไร โดยให้เก็งกำไรตามทิศทางขาขึ้นของราคายางแท่งในตลาด SICOM
.
ถัดมา NER บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/67 เติบโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทรงตัวถึงดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า ตามราคาขายที่ปรับขึ้น ขณะที่ไตรมาส 2/67 คาดกำไรสูงขึ้นทั้งจากไตรมาส 2/66 และไตรมาส 1/67 เนื่องจากจะเริ่มมีรายได้จากลูกค้าญี่ปุ่นรายใหม่ 1 ราย
.
ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการ GPM ปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 11.6% จาก 10.9% และปรับลดดอกเบี้ยจ่ายลดลง 7.4% จากผลของการจ่ายคืนหุ้นกู้ที่อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ส่งผลให้ประมาณการกำไรปีนี้เพิ่มขึ้น 8.6% เป็น 1,755 ล้านบาท โต 9% จากปีก่อน คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.80 บาท
.
ส่วน KSL บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ปรับมูลค่าเหมาะสมเหลือ 3.3 บาท เพราะมีการปรับกำไรสุทธิปี 2567 ลง 14% มาอยู่ที่ 1,324 ล้านบาท โต 46% จากปีก่อน เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหลังราคาอ้อยอยู่สูงและอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำเพราะปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลง
.
อย่างไรก็ตามยังมองว่าผลประกอบการปีนี้จะยังเห็นการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากได้รับผลดีจากการขายล่วงหน้าที่ราคาสูง ซึ่งมาช่วยชดเชยกับปริมาณอ้อยเข้าหีบที่คาดว่าจะลดลงเหลือ 5.3 ล้านต้นอ้อย จาก 6.6 ล้านต้นอ้อยในปี 2566 จากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้น
.
สุดท้าย GFPT บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ประเมินไตรมาส 1/67 กำไรหลักจะเพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดยอัตรากำไรและกำไรที่สูงขึ้นในบริษัทร่วม โดยปกติกำไรไตรมาสแรกของ GFPT จะชะลอตัวลงตามฤดูกาล (ช่วงโลว์ซีซั่นสำหรับการส่งออก) ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรจะลดลง 18% จากไตรมาสก่อนหน้า
.
ฝ่ายวิเคราะห์คาดอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/67 ที่ 11.5% เพิ่มขึ้นจาก 10.4% ในไตรมาส 1/66 โดยได้แรงหนุนจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง ทั้งนี้คาดกำไรปี 2567 อยู่ที่ 1,495 ล้านบาท เติบโต 13.86% จากปีก่อน โดยแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมายที่ 15.50 บาท