ชำแหละความขำ
ขำขันเรื่องแรกของประเทศไทยที่ตีพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษร น่าจะคือเรื่องที่ลงใน บางกอกรีคอร์เดอร์ เล่ม 1 ใบที่ 17 วันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1865 (พ.ศ. 2408)
ชื่อเรื่อง ความเตือนอันอ่อน เนื้อเรื่องมีดังนี้

ครั้งก่อนมีขุนนางผู้ใหญ่, ได้นั่งกินโต๊ะด้วยกันกับคนอื่นมาก นั่งแน่นกันนัก. มีคนหนึ่งที่พูดมาก ๆ นั่งใกล้กันกับคนนั้น. คนที่พูดมากนั้น, ครั้นพูดแล้วก็ยกมือไปมาตามคำที่เขาพูดด้วย. ขุนนางจึ่งบอกกับเขาคนนั้นว่า, มือของท่านเปนเครื่องรำคาญใจข้าพเจ้านัก. คนนั้นจึ่งตอบว่า, ขอรับกระผม คนแน่นนัก, เกล้าผมไม่รู้ที่จะเอาไว้ที่ไหนได้, ขุนนางจึ่งตอบว่า, ถ้าอย่างนั้นก็เอามือยัดไว้ในปากเสียเถิด

นี่เป็นขำขันที่มีอายุอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษครึ่ง คะแนนความขำของเรื่องนี้คงแล้วแต่การทำงานของต่อมขำของผู้อ่านแต่ละท่าน
ผมอ่านและฟังขำขันมาแต่เด็ก สถานีวิทยุยุคนั้นเป็นพื้นที่ให้นักเล่าขำขันนาม เกษม ฉายพันธ์ เมื่อเขาออกอากาศ เด็ก ๆ ก็นั่งล้อมวิทยุฟัง และขำตามเมื่อดนตรีปิดเรื่องขึ้น
ส่วนนิตยสารเล่มแรก ๆ ที่มีคอลัมน์ขำขันในยุคนั้นคือชัยพฤกษ์ของห้างไทยวัฒนาพานิช ซึ่งวางแผงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497 ผมไม่เคยพลาดคอลัมน์นี้
ขำขันทั้งของ เกษม ฉายพันธ์ และในนิตยสารชัยพฤกษ์ยุคนั้น ก็คงไม่ต่างจากขำขันเรื่องแรกของไทย ไม่ค่อยมีเนื้อเรื่อง เป็นแก๊กเสียมากกว่า ไม่ค่อยถึงระดับ ‘ขำกลิ้ง’
เวลานั้นผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น วัยราว 14-15 ก็ริเขียนเรื่องขำขันส่งไปที่นิตยสารชัยพฤกษ์
เมื่อได้รับการตีพิมพ์ ก็ฮึกเหิมเขียนขำขันเป็นการใหญ่ ขำขันของผมตีพิมพ์ในนิตยสารชัยพฤกษ์ ชัยพฤกษ์การ์ตูน วิทยาสาร หลายสิบเรื่อง ได้ค่าเรื่องเรื่องละสิบบาท

การเขียนเรื่องขำในเวลานั้นไม่ใช่เพราะเป็นคนมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ แต่เพราะอยากหารายได้พิเศษ
เรื่องขำขันที่ตีพิมพ์ในนิตยสารยุคนั้นมักเป็นขำขันแนวเล่นมุขพื้น ๆ คล้าย ๆ อย่างที่ฝรั่งเรียก slapstick คืออารมณ์ขันที่เปลือก มันไม่ใช่ความขำที่เกิดจากโครงสร้างพล็อต ยกตัวอย่าง เช่น ครูถามนักเรียน “ปลาอะไรที่ว่ายน้ำไม่ได้?” คำตอบคือ “ปาท่องโก๋”
slapstick ถ้าเป็นหนัง ก็เป็นตลกที่ความขำเกิดจากท่าทางหรือการกระทำแปลก ๆ เช่น กางเกงหลุด เดินกางขา ฯลฯ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือหนังทีวีชุด Mr Bean หลายตอนตลกตรงกิริยาท่าทางของนักแสดง เช่น ยักคิ้วหลิ่วตา ส่งเสียงประหลาด ๆ ผายลมต่อหน้าธารกำนัล
ขำขันที่เป็นเรื่องแต่งหรือการ์ตูนจำนวนมากในโลกตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นขำขันที่เปลือก เช่น
“คุณเป็นโรคอะไร?”
“ผมเป็นโรคไต-หาหัวจาม” (ตามหาหัวใจ)
สมัยนี้เราเรียกงานแบบนี้ว่า มุขแป้ก หรือมุขตลกคาเฟ่ ความขำอยู่ที่การเล่นคำ หรือใช้ประโยคเด็ด ๆ ส่วนใหญ่เมื่อแปลเป็นภาษาอื่น ก็ไม่มีความขำเหลืออยู่เลย

คนที่ทำงานในวงการขายขำ ไม่ว่าเขียนขำหรือวาดขำ ต้องผลิตงานขำออกมาสม่ำเสมอ คิดแก๊ก คิดมุข ไม่ใช่เรื่องง่าย การพยายามขำให้ได้ภายในเด๊ดไลน์ไม่ใช่เรื่องสนุกแต่ประการใด
แต่งานก็คืองาน เมื่อถึงเส้นตาย ก็ต้องส่งงาน
นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ไอแซค อสิมอฟ ก็เขียนเรื่องขำ และในช่วงหนึ่งเขาเขียนเรื่องขำขณะที่กำลังมีความทุกข์ ทว่าหน้าที่ก็คือหน้าที่ อสิมอฟก็เขียนเสร็จ ส่งงานตามกำหนด
นี่ทำให้เราต้องคิดว่า บางทีอารมณ์ขันอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญหรือปัจจัยเดียวที่สร้างสรรค์เรื่องขำ บางทีมันอาจมีสูตรเหมือนการทำขนมเค้กหรือคุกกี้
ถ้ามีสูตรจริง เราจะสร้างเรื่องขำอย่างไร?
ผมเกิดมาโดยปราศจากต่อมขำที่ใหญ่ผิดปกติ หรือร่ำรวยอารมณ์ขัน กระนั้นผมก็เข้าสู่วงการขายขำโดยไม่ตั้งใจ หนึ่งในงานเขียนที่ต้องพึ่งพาความขำคือนิยายนักสืบชุด พุ่มรัก พานสิงห์ ใช้มุขขำจำนวนมาก เพื่อป้องกันโรคไส้แห้ง ก็ต้องพยายามขำทำมาหากิน
ขำขันอาจเป็นแบบแก๊ก - gag (แปลว่าขำขันหรือมุข) หรือการเล่นคำหรือประโยคเด็ด เรียกว่า punch line
อีกแบบหนึ่งคือเรื่องที่มีพล็อตเหมือนเรื่องสั้นขนาดสั้น ขำขันแบบนี้เหนือกว่าแก๊ก เพราะต้องออกแบบเรื่อง ตัวละคร และฉาก
พูดง่าย ๆ คือแบบที่ 1 คือขำขันที่เปลือก แบบที่ 2 คือขำขันที่แก่น
แบบที่ 1 ขำขันที่เปลือก มักเป็นการเล่นแก๊กหรือมุข ก็คืองานที่วางความขำที่เปลือกของเรื่อง อาจเป็นภาษา ยกตัวอย่างเช่น
นาย ก. : “หมอให้ยามากิน หายเลย”
นาย ข. : “ยาดีนะ”
นาย ก. : “เปล่า หายาไม่เจอ”
ขำขันแบบนี้มีแต่คนไทยเข้าใจ เพราะเล่นคำ ‘หาย’ แปลได้ทั้งโรคหายและของหาย
นี่เป็นขำขันที่เกิดจากการเล่นคำ ไม่ใช่พล็อต จึงจัดเป็นขำที่เปลือก
“เวลาเปิดตู้เสื้อผ้า อย่าเปิดดังนะ”
“ทำไม?”
“มีชุดนอนอยู่”
“หมอครับ ทำไมยานอนหลับนี้ไม่ได้ผล?”
“เพราะยากำลังนอนหลับน่ะซี”
“ไป เมื่อวานนี้ผมไปหาหมอ”
“หมอว่ายังไง?”
“พอหมอพูด ผมงี้ยืนไม่ได้เลย”
“หมอว่าคุณเป็นโรคร้ายอะไรหรือ?”
“เปล่า หมอบอกว่า เชิญนั่ง”
ลูกค้าถามแม่ค้าขายไข่ “ไข่อะไรที่แพงที่สุดครับ?”
“ไข่เหี้ยค่ะ”
“ไข่เหี้ยหน้าตาเป็นยังไงครับ?”
แม่ค้าชี้ไปที่กองไข่ไก่
“อ้าว! นี่มันไข่ไก่นี่นา ทำไมจึงบอกว่าเป็นไข่เหี้ยล่ะครับ?”
“เพราะเวลาใคร ๆ เห็นราคาแล้ว ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า ไข่เหี้ยอะไรวะ แพงชิบหาย”
ขำขันเรื่องต่อไปนี้แพร่หลายในโลกโซเชียลมาหลายปีแล้ว ฉากคือกรุงเทพฯ
นักท่องเที่ยวฝรั่งหลายคนเที่ยวกรุงเทพฯโดยใช้รถไฟฟ้า
จากสถานีอโศก มุ่งหน้าสู่สถานีเพลินจิต ได้ยินเสียงประกาศว่า “Next station, Plearn Shit”
ฝรั่งมองตากัน ยิ้ม ๆ
รถแล่นต่อไปอีก เสียงประกาศดังขึ้นว่า “Next station, Shit Lom.”
ฝรั่งคนหนึ่งเปรยขึ้น “ทำไมชื่อสถานีในกรุงเทพฯจึงมีแต่ shit?”
คนไทยที่นั่งใกล้ ๆ ตอบว่า “นี่ยังไม่เท่าไหร่ สถานีปลายทางที่เราจะไปคือ More Shit”
หกเรื่องข้างต้นนี้ใช้โครงสร้างเดียวกันเป๊ะ แปลงภาษาเป็นความขำ
ด้วยสูตรนี้เราก็สามารถ ‘รีเมก’ เรื่องขำได้อีกมากมาย หากต้องการให้เรื่องแตกต่างและน่าสนใจขึ้น ก็แต่งเปลือกใหม่ หรือสร้างฉากใหม่
ยกตัวอย่างเช่น
เขาชื่อช่วง เป็นศิลปิน มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง แต่โชคดีหญิงสาวที่เขาหมายปองรักเขา
เธอชื่อฝน เป็นสาวงามในหมู่บ้าน แม่ของเธอเตือนเธอหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรคบเขา
แต่ทั้งสองรักกันและแต่งงานกันในที่สุด อย่างไรก็ตาม แม่ยายก็ยังบอกลูกสาวเสมอว่า “ผัวมึงไม่ได้เรื่อง เลิกกันเถอะ”
วันหนึ่งลูกสาวร้องไห้กลับไปหาแม่ บอกแม่ว่า “พี่ช่วงจะฆ่าตัวตาย ต่อว่าหนูไม่รักเขาแล้ว บอกว่าเขาได้ยินว่าหนูจะทิ้งเขาไป”
“แล้วลูกจะทิ้งเขาไปจริงเรอะ?”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นไอ้ช่วงไปได้ยินข่าวบ้า ๆ นี้มาจากไหน?”
“ได้ยินจากวิทยุค่ะ”
“แล้ววิทยุจะมายุ่งอะไรกับชีวิตชาวบ้านเล่า?”
“เขาบอกว่าวันนั้นได้ยินรายงานอากาศของกรมอุตุฯบอกว่า อีกสองวันฝนจะทิ้งช่วง”
คราวนี้มาลองดูขำขันที่ไม่เล่นกับภาษา แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องขำแบบเปลือกเช่นกัน ขำขันตระกูลนี้เล่นกับการจบด้วยประโยคเด็ด (punch line) คือท่อนสุดท้ายที่ ‘ปิดจ๊อบ’ ทำให้ขำ ยกตัวอย่างเช่น
บาทหลวงถูกตามตัวไปสวดให้นักโทษประหารในคุก วิธีประหารคือใช้เก้าอี้ไฟฟ้า
บาทหลวงถามนักโทษว่า “ลูกจะขออะไรเป็นครั้งสุดท้ายไหม?”
“ผมกลัว ผมว้าเหว่มาก หลวงพ่อช่วยจับมือผมตอนเขาประหารได้ไหม?”
ในเมื่อความขำเป็น punch line ไม่ใช่โครงสร้างหลักของเรื่อง เราก็อาจแต่งเรื่องเดียวกันนี้ให้จบได้อีกหลาย ๆ แบบ ขำไม่ขำขึ้นกับต่อมขำของคนอ่าน เช่น
“ผมเมื่อยก้นจัง หลวงพ่อช่วยนั่งแทนผมหน่อย”
หรือ
“ตอนออกไป หลวงพ่อช่วยดึงเบรกเกอร์ไฟลงหน่อย”
ฯลฯ
เรื่องทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้เป็นขำที่เปลือก ไม่ใช่ขำที่พล็อต สามารถเล่าใหม่นับพัน ๆ ครั้งโดยที่ผู้อ่านไม่มีทางรู้ว่ากำลังอ่านมุขซ้ำ เหมือนกับเราใช้โครงกระดูกของม้ามาปั้นแต่งรูปร่างภายนอก มันอาจออกมาเป็นม้าดำ ม้าขาว ม้าลาย ลา ยูนิคอร์น ฯลฯ
เปลือกนอกดูเป็นคนละเรื่อง แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องเดิม
นี่ก็คือกลวิธีของฮอลลีวูดในการทำหนังใหม่แบบ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ ขายได้เรื่อย ๆ
ก็มาถึงขำขันแบบที่สอง คือเรื่องที่ขำที่แก่น
เรื่องแบบนี้ใช้พล็อตเป็นตัวจุดความขำ เขียนยากกว่าแบบแรกมาก เพราะต้องวางคอนเส็ปต์ ไอเดียแบบนี้คิดไม่ง่าย ถ้าเป็นบ้าน ก็เป็นบ้านที่ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่บ้านจัดสรร
มันเป็นเรื่องที่มีพล็อตหรือคอนเส็ปต์หรือ Big Idea ซึ่งเป็นหลักเดียวกับงานเรื่องสั้น นวนิยาย ดนตรี ภาพยนตร์ที่ดี มันยกระดับจากขำขันพื้น ๆ เข้าไปสู่พื้นที่ของวรรณกรรม เพราะต้องมีพล็อต มีการขมวดปม การคลี่คลาย เหมือนเขียนเรื่องสั้น
จุดแตกต่างคือต้องเป็นเรื่องสั้นหักมุมจบ
ขณะที่เรื่องสั้นหักมุมจบอาจจบแบบต่าง ๆได้ รวมถึงโศกนาฏกรรม แต่ขำขันต้องจบด้วยความขำอย่างเดียว
จะเห็นว่าขำขันแบบมีพล็อตทุกเรื่องในโลกก็คือเรื่องสั้นหักมุมจบ แต่ไม่ใช่เรื่องสั้นหักมุมจบทุกเรื่องเป็นขำขัน
ตัวอย่าง เช่น
เศรษฐีสามีภรรยาคู่หนึ่งงานเลี้ยงราตรีสโมสร ก่อนออกจากบ้าน ผู้เป็นภรรยาบอกหัวหน้าคนรับใช้ว่า “ดูแลบ้านให้ดีนะ” คนรับใช้หนุ่มค้อมศีรษะ “ครับ”
เขาเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี ทำงานดี ไม่เกี่ยงงาน มารับตำแหน่งหัวหน้าคนใช้ในคฤหาสน์ได้สองปีแล้ว ไม่เคยบกพร่องเรื่องงาน เขามีรสนิยมดี รู้เรื่องศิลปะ แฟชั่น อ่านหนังสือมาก เขาเป็นรูปร่างสมส่วนผึ่งผาย
งานราตรีผ่านไปเรียบร้อย ผู้เป็นสามีพบรัฐมนตรีคนหนึ่ง ซึ่งชวนเขาคุยเรื่องงานต่อ เขาจึงขอให้ภรรยากลับบ้านก่อน
ภรรยาสาวกลับถึงคฤหาสน์ ขณะก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น ก็ตะลึงเมื่อเห็นพบว่าใครคนหนึ่งกำลังเอกเขนกจิบเหล้าในห้องนั่งเล่น หล่อนจ้องเขา บอกคนรับใช้หนุ่มเรียบ ๆ ว่า “วางแก้วเหล้าลง แล้วตามฉันมา”
หล่อนเดินตรงไปที่ห้องนอน เขาเดินตามเจ้านายสาวไปอย่างว่าง่าย หล่อนปิดประตูห้องนอน ตรงไปที่เตียง บอกเขา “ถอดเสื้อผ้าฉันออก”
เสียงเขาสั่นสะท้าน “จะดีหรือครับ?”
หล่อนพูดเสียงเข้ม “บอกว่าให้ถอด ก็ถอดออก” คนรับใช้หนุ่มถอดเสื้อผ้าของหล่อนออกอย่างรวดเร็ว หล่อนสัมผัสรู้ว่าลมหายใจเขาแรงขึ้น
“ถอดถุงน่องของฉันออก” เขาทำตาม
“ถอดยกทรงด้วย”
แล้วยกทรงก็ปลิวลงไปกองบนพื้น
“ทีนี้ก็ถอดกางเกงในของฉันออก”
“จะดีหรือครับ?” เขาพูดซ้ำ
“บอกให้ถอดก็ถอด อย่าเถียง อย่าช้า”
มือของเขาสั่นขณะที่อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของหล่อนหลุดจากร่าง หล่อนจ้องตาเขา เอ่ยว่า “เข้ามาใกล้ ๆ ซิ”
“ครับ”
“ถ้าแกขืนเอาชุดของฉันมาใส่อีกครั้ง ฉันไล่แกออกแน่”
โครงสร้างเรื่องนี้คือเรื่องสั้นหักมุมจบนั่นเอง ปูเรื่องอย่างดีก่อนหักมุมแบบคาดไม่ถึง และขำ คุณลักษณะสำคัญของเรื่องแบบนี้คือเราเปลี่ยนตอนจบเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตลกภาษา ไม่ใช่ตลก punch line มันออกแบบมาเป็น ‘แพกเกจ’ อย่างนี้
อีกหนึ่งตัวอย่าง
ครั้งหนึ่งยอดนักสืบ เชอร์ล็อก โฮล์มส์ กับหมอวัตสันคู่หูไปตั้งแคมป์ข้ามราตรีกลางธรรมชาติ
หลังจากกินอาหารเย็นแสนอร่อยกับไวน์หนึ่งขวด ทั้งสองก็เข้านอน หลายชั่วโมงผ่านไป เชอร์ล็อก โฮล์มส์ ตื่นขึ้น หันไปสะกิดเพื่อนรัก
“วัตสัน มองขึ้นฟ้าหน่อย แล้วบอกผมว่าคุณเห็นอะไร”
หมอวัตสันตอบ “ผมเห็นดวงดาวนับล้านล้านดวง”
“แล้วคุณอนุมานอะไรได้บ้าง?”
หมอวัตสันไม่แปลกใจที่เพื่อนถาม เพราะโฮล์มส์เป็นเจ้าแห่งการอนุมาน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ในทางดาราศาสตร์ มันบอกว่ามีดาราจักรนับล้าน ๆ ข้างนอกโน้น และอาจมีดาวเคราะห์อีกจำนวนมหาศาล ในทางโหราศาสตร์ ดาวเสาร์สถิตในราศีสิงห์ ในทางศาสตร์เวลา อนุมานว่าขณะนี้เป็นเวลาประมาณตีสามสิบห้านาที ในทางอุตุนิยมวิทยา เชื่อว่าพรุ่งนี้ฟ้าจะแจ่มใส ในทางศาสนศาสตร์ ผมเห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอำนาจสูงสุด มนุษย์เราเล็กกระจิริด และไร้ความสำคัญในจักรวาล แล้วมันบอกอะไรคุณบ้าง โฮล์มส์?”
โฮล์มส์เงียบงันไปขณะหนึ่ง กล่าวว่า “วัตสัน เจ้างั่ง! มีคนขโมยเต็นท์ของเราไปแล้ว”
ลองอ่านอีกเรื่อง
ทุก ๆ ปี ไอน์สไตน์ต้องไปพูดปาฐกถา เล็กเชอร์ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ปีละหลายสิบครั้ง บ่อยครั้งเขาก็เบื่อ เขาอยากทำงานเงียบ ๆ มากกว่า แต่ก็ต้องไป...
วันหนึ่งไอน์สไตน์นั่งรถไปพูดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และบ่นกับคนขับรถว่า เบื่อพูดเล็กเชอร์แล้ว คนขับรถบอกว่า “งั้นทำไมไม่ให้ผมขึ้นพูดแทนล่ะครับ? หน้าตาผมก็คล้ายท่าน ใส่หนวดสวมวิกผมฟู ๆ ก็เหมือนแล้ว”
ไอน์สไตน์ถาม “แล้วคุณจะพูดเรื่องฟิสิกส์ได้หรือ?”
“ทำไมจะไม่ได้ ผมได้ยินท่านเล็กเชอร์มาหลายสิบหนแล้ว อีกอย่างท่านพูดแต่ละเรื่อง ก็ไม่มีใครเข้าใจ แต่พวกเขาก็ปรบมือให้ทุกที”
ไอน์สไตน์บอกว่า เป็นความคิดที่ดี ทั้งสองก็ไปหาซื้อหนวดและวิก เปลี่ยนชุดกัน แล้วไปสถานที่เล็กเชอร์ คนขับรถก็ขึ้นไปพูดแทนเจ้านาย ขณะที่ไอน์สไตน์หลบอยู่ในที่นั่งแถวท้ายห้องประชุม
คนขับรถพูดเหมือนไอน์สไตน์ คนฟังปรบมือเป็นระยะโดยไม่รู้ว่าคนพูดเป็นไอน์สไตน์ตัวปลอม เมื่อพูดจบ นักฟิสิกส์คนหนึ่งก็ยกมือถาม เป็นคำถามยาก คนขับรถเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า “คำถามนี้มันง่ายเสียจนใคร ๆ ก็น่าจะตอบได้ ผมจะให้คนขับรถของผมที่นั่งอยู่ด้านท้ายห้องตอบก็แล้วกัน”
โครงสร้างของเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นหักมุมจบที่ดี เพราะมันปูเรื่อง (คือการสลับตัว) แล้วดำเนินเรื่องไป (การเล็กเชอร์) จนถึงจุดไคลแม็กซ์ (ผู้ฟังตั้งคำถาม) ยากที่จะเดาออกว่าจะจบอย่างไร
ไม่ว่ามองในมุมของเรื่องสั้นหรือขำขัน ก็ได้คะแนนเต็ม
เรื่องแบบนี้เขียนยาก มันยกระดับมาตรฐานไปสูงกว่าเรื่องไข่เหี้ย ฝนทิ้งช่วง More Shit ฯลฯ ไปหลายปีแสง
เราสามารถใช้ขำขันสะท้อนสังคมและความคิดได้ไหม? คำตอบคือได้ แม้จะมีขำขันแบบนี้ไม่มาก
ลองอ่านขำขันเรื่องนี้ดู
หลังจากแต่งงานมาได้ยี่สิบปี ข้าพเจ้ากับภรรยาก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเป็นประจำ บางครั้งเสียงทะเลาะกันดังได้ยินไปทั่วหมู่บ้าน
อันหมู่บ้านจัดสรรที่เราจับจองเป็นรังรักนั้นก็ไม่ใหญ่โตอะไร เมื่อทะเลาะกัน บ้านอื่นก็ได้ยิน ข้าพเจ้ากับภรรยาจึงตกลงกันว่าเวลาโกรธกัน จะไม่ใช้ปาก หากสื่อสารกันด้วยปากกา เขียนใส่กระดาษให้กัน
วันหนึ่งเราทะเลาะกัน ข้าพเจ้านึกได้ว่าวันพรุ่งนี้มีประชุมสำคัญของบริษัท จึงเขียนใส่กระดาษให้เธอ ข้อความว่า “พรุ่งนี้ช่วยปลุกด้วย ตอนหกโมงตรง”
คืนนั้นข้าพเจ้าหลับไปพร้อมเพลงโปรด วันรุ่งขึ้น เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นมานั้น เป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว ข้าพเจ้าโกรธวูบ แต่แล้วสายตาของข้าพเจ้าก็มองไปเห็นกระดาษบนโต๊ะข้างเตียง มีลายมือภรรยาของข้าพเจ้าเขียนว่า “ตื่นได้แล้ว หกโมงแล้ว”
เรื่องนี้ไม่เพียงขำที่แก่น ยังเป็นเรื่องสะท้อนสังคมครอบครัวด้วย
บางเรื่องก็สามารถสะท้อนวิธีมองโลก เป็นงาน ‘thought provoking’ ทำให้ต้องครุ่นคิดต่อ
“ใครก็ตามที่โค่นล้มจอมเผด็จการ ย่อมเป็นคนน่ายกย่อง”
“งั้นเราก็ต้องยกย่องฮิตเลอร์นะ”
“ทำไม?”
“เพราะเขาเป็นคนฆ่าฮิตเลอร์”
นี่คือการเสนอมุมมองที่คนส่วนใหญ่อาจมองไม่ถึง เมื่อเขียนเป็นขำขัน ก็ให้รสชาติแปลกดีเหมือนกัน
ลองอีกเรื่องหนึ่ง
ในทางจิตวิทยา ซาดิสท์ (sadist) คือ คนที่ชอบทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด ส่วนมาโซคิสท์ (masochist) คือ คนที่ชอบให้ผู้อื่นทำร้ายตนเองให้เจ็บปวด
มาโซคิสท์บอกซาดิสท์ว่า “นี่คุณ ช่วยทำให้ผมเจ็บหน่อยสิ”
ซาดิสท์ตอบว่า “กูไม่ทำว่ะ”
อ่านขำขันเรื่องนี้แล้วต้องคิดนาน ๆ ถึงจะหัวเราะได้
งานเขียนขำขันแบบแก่นเป็นงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นสากล อยู่ได้นาน ขำข้ามเวลา
ไม่ว่าเป็นงานขำขันหรืองานวรรณกรรม มันก็อาศัยฝีมือการประพันธ์เหมือนกัน หากสามารถเล่าเรื่องโดยลำดับเรื่องดี ใช้ภาษาดี มันก็จะเข้าไปสู่พื้นที่ของวรรณกรรม ก้าวพ้นจากงานธรรมดาหรืองานขำตื้น ๆ เป็นงานศิลปะ
ในวัยสูงขึ้น ผมกลับไปอ่านขำขันที่เคยเขียนไว้ตอนเป็นวัยรุ่น พบว่าแทบทั้งหมดไม่ขำแล้ว
แสดงว่าด้วยโลกทัศน์และมุมมองตอนอายุมากขึ้น มองโลกไม่ค่อยขำเหมือนตอนเด็ก
นี่อาจเป็นเรื่องน่าเศร้า มันแปลว่าเราอาจสูญเสียความรื่นรมย์โสภาแจ่มใสแบบเด็กไปแล้ว