ห้องเม่าปีกเหล็ก

Warren Buffett VS Peter Lynch VS Jim Rogers VS George Soros

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
71 views

นักลงทุนและนักเก็งกําไรที่ประสบผลสําเร็จและมีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ :

1) ​Warren Buffett

2) Peter Lynch 

3) Jim Rogers

และ 4) George Soros

แต่ละท่าน ก็จะมีรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกันไปดังนี้ คือ :

1)  Warren Buffett : แรกเริ่มเดิมที Warren Buffett ลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้กราฟ หรือ การวิเคราะห์หุ้นโดยใช้ปัจจัยทางด้านเทคนิค แต่ไม่ประสบผลสําเร็จ แล้วพอดีได้มีโอกาสมาพบกับ Benjamin Graham ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของการลงทุนด้านเน้นมูลค่า ( Value Invetment ) และ Warren Buffett ก็ได้หลงไหลในรูปแบบในการลงทุนแบบนี้ทันที Benjamin Graham กล่าวไว้ว่า " นักลงทุนควรจะซื้อหุ้นในช่วงที่หุ้นมีราคาที่ถูกมากๆ โดยดูจากค่า P/E Ratio ที่ตํ่ามากๆ  P/B Ratio ที่ตํ่ามากๆ  และ Dividend Yield ที่สูงมากๆ  โดยการที่จะซื้อหุ้นในราคาตํ่าได้จะต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่ปรกติเกิดขึ้นเช่นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแล้วเกิดการ Panic Sell หรือ การขายแบบหนีตายของนักลงทุนทั่วไปออกมาแล้วจึงจะทําให้หุ้นมีราคถูกเป็นพิเศษ หรือ มี " Margin of Safety "  Warren Buffett ทดสอบคําสอนของอาจารย์ Benjamin Graham ครั้งแรกๆโดยการขายหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดออกไปในปี ค.ศ 1969 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตลาดกระทิงในทศวรรษที่ 1960 แล้วถือเงินสด เมื่อ Warren Buffett เห็นว่าตลาดน่าจะเกิดฟองสบู่แตกเพราะหุ้นในขณะนั้นมีมูลค่าสูงตามความรู้สึกของ  Warren Buffett และแล้วในอีก 4 ปีต่อมาในปี ค.ศ 1973 ก็เกิดฟองสบู่แตกจริงๆ ซึ่งทําให้หุ้นราคาตกตํ่าลงมาอย่างมากมายมหาศาล ในปีนั้น Warren Buffett ได้ซื้อหุ้น Washinhton Post ในราคาที่ถูกมากๆ แล้วทํากําไรได้อย่างมากมายมหาศาลในการลงทุนในหุ้นตัวนี้ในเวลาต่อมา หนังสือที่โ่ด่งดังไปทั่วโลกเกี่ยวกับ Value Investment ที่แต่งโดย Benjamin Graham คือ Security Analysis และ The Intelligent Investor

Warren Buffett ได้ตระหนักในเวลาต่อมาว่า การซื้อหุ้นได้ถูกมากๆ ไม่ไช่ประเด็นที่สําคัญที่สุดของการลงทุน แต่ต้องหาหุ้นที่มีการเติบโตที่เรียกว่ามี Durable Competative Advantage ซึ่งเป็นหลักการที่ได้มาจาก Philip A. Fisher จากหนังสือ  Common Stocks  and Uncommon Profits and Other Writings แล้วในที่สุด Warren Buffett ก็ประสบผลสําเร็จในการผนวกกลยุทธแบบ Value ( 30% ) และ Growth ( 70% ) เข้าด้วยกัน แล้วซื้อหุ้น Coca Cola ในช่วงวิกฤติวันจันทร์ทมิฬในปี ค.ศ 1987  แล้วถือหุ้น Coca Cola มาจนถึงปัจจุบันด้วยผลตอบแทนมหาศาล เช่นเดียวกัน

นอกจาก Warren Buffett จะมีความสามารถคาดการณ์สภาวะตลาดโดยรวมว่าอยู่ในสภาวะกระทิง หรือ สภาวะหมี มีความสามารถที่เข้าซื้อหุ้นในราคาถูก ​( Value ) มีความสามารถในการซื้อหุ้นที่มี Durable Competitive Advantage ( Growth ) แล้ว Warren Buffett ยังมีความสามารถในการลงทุนในหุ้นวัฏจักร โดยการลงทุนในหุ้น PetroChina เมื่อราคานํ้ามันอยู่ที่ 25 USD Per Barrel แล้วถือไปขายอีก 5 ปีต่อมาที่ราคานํ้ามันที่ 120 USD  Per Barrel และ ในที่สุด Waren Buffett ก็ได้กําไร 4 เท่าตัวของราคาที่ซื้อมา

2) Peter Lynch : ในยุคของ Peter Lynch เขาจะวัดความน่าสนใจในการเข้าซื้อหุ้นโดยใช้ค่า P.E.G หรือ ( P/E ) / G โดย G คือคาดการณ์อัตราการเติบโตของธุรกิจหรือหุ้นที่ถืออยู่ในอนาคต โดยถ้า P.E.G ตํ่ากว่า 1 ถือว่าน่าลงทุน แต่ถ้า P.E.G สูงกว่า 1 ถือว่าไม่น่าลงทุน เนื่องจาก Peter Lynch ขณะนั้นเป็นผู้จัดการกองทุนที่เป็นส่วนหนึ่งของ Fedelity การลงทุนจึงกระจายออกไปในหลายอุตสาหกรรม และส่วนหนึ่งที่ Peter Lynch ชอบพูดถึงเป็นกรณีศึกษาเสมอคือการลงทุนในธุรกิจวัฏจักรสินค้าแฟชั่น ซึ่ง Peter Lynch ก็ประสบผลสําเร็จอย่างดีในการลงทุนใน L'LEG  ซึ่งเป็นถุงน่องสตรี โดยซื้อตอนที่ผลิตภัณฑ์ได้ออกสู่ตลาดใหม่ๆ และขายดีเป็นเทนํ้าเทท่า แล้วขายตอนที่ตลาดของสินค้าตัวนี้เริ่มจะมีการอิ่มตัวแล้ว อนึ่ง Peter Lynch ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่โด่งดังไปทั่วโลก 3 เล่มคือ Learn to Earn, One Up on Wall Street และ Beating the Street 

3) Jim Rogers : Jim Rogers เป็นผู้ทีประสบผลสําเร็จสูงที่สุดในการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ Jim Rogers จึงไม่ค่อยจะอ้างอิงถึงค่า P/E, P/B, Dividend Yielad และ P.E.G มากนัก แต่จะกล่าวถึงว่า " นักลงทุนควรจะลงทุนในธุรกิจที่ตัวเองมีความรู้ดี  " ดังนี้ คือ :

จิม โรเจอร์ ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักการลงทุน ดังนี้ คือ :

ผู้คนต่างถามผมอยู่เสมอว่าลงทุนในอะไรดี ซึ่งผมก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง ผมบอกว่า อย่าฟังผม อย่าฟังใครทั้งนั้น ทางเดียวที่คุณจะเป็นนักลงทุนที่ประสบผลสําเร็จ คือ การลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ดี ทุกคนมีสิ่งที่ตนรู้ดีทั้งนั้น มันอาจจะเป็นรถ แฟชั่น หรือ อะไรก็ตาม คุณรู้ดีในเรื่องอะไรสักเรื่อง ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณรู้เรืองอะไรดี ให้คุณถอยมามองดูชีวิตประจําวันของคุณ เมื่อคุณนั่งรอตรวจกับหมอคุณมักจะหยิบนิตยสารอะไรขึ้นมาอ่าน ถ้าคุณเปิดโทรทัศน์คุณมักจะดูรายการประเภทไหน และ คุณก็จะรู้ในไม่ช้าว่าคุณสนใจเรื่องอะไรกันแน่ และ ความรอบรู้ของคุณจะอยู่ในเรื่องใด

ตอนนี้คุณก็พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบผลสําเร็จแล้ว ถ้าคุณมีความสนใจเรื่องรถยนต์ ให้คุณอ่านทุกอย่างที่คุณหาได้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ คุณจะรู้ว่าเมื่อไหร่บางสิ่งที่จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ดีขนานใหญ่จะเกิดขึ้น จากนั้นให้ตามเรื่องต่อ อ่านเรื่องที่คุณค้นพบให้มากขึ้น มันอาจจะเป็นระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบใหม่ที่กําลังพัฒนาอยู่ เป็นระบบที่เหนือกว่าและถูกกว่าระบบที่กําลังใช้อยู่ และคุณก็รู้ว่าเมื่อมันเข้าสายพานการผลิตเมื่อไหร่ มันจะกินส่วนแบ่งการตลาดขนานใหญ่อย่างแน่นอน หรือ มันอาจจะเป็นถนนเส้นใหม่ ผู้คนอาจจะขับรถไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน โรงแรมหรือศูนย์การค้าใหม่อาจจะเปิดที่นั่น กลยุทธพื้นฐานคืออยู่ในสิ่งที่คุณรู้แล้วขยายความรู้ออกไป ถ้ามีคนโทรหาคุณแล้วบอกว่า โอ้ พระเจ้า ตอนนี้มีข่าวใหม่เกี่ยวกับกระบวนการผลิตคอมพิวเตอร์แบบใหม่ คุณต้องไม่ใส่ใจมัน คุณไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รถยนต์คือสิ่งที่คุณรู้ เพ่งพินิจในสิ่งที่คุณรู้และเมื่อคุณเห็นการเปลี่ยนแปลง คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กําลังจะมาก่อนที่ผมจะเห็นนานทีเดียว นานโขกว่าที่คนอื่นในวอลส์สตรีทจะเห็น เพราะรถยนต์เป็นความชื่นชอบของคุณ มันเป็นเรื่องที่คุณนั่งอ่านอยู่ตลอดเวลา

หมายเหตุ : จากหนังสือ " STREET SMARTS " โดย จิม โรเจอร์ 

4) George Soros : เป็นนักเก็งกําไร โดยนําเสนอทฤษฎี Refliexivity ( การสะท้อนกลับ ) โดยมีใจความสําคัญดังนี้ คือ :

" อคติของคนหมู่มากกระทบต่อราคาหุ้น และกระทบต่อไปยังพื้นฐานของหุ้น การเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดอย่างต่อเนื่อง " และ น่าจะประยุกต์หลักการเก็งกําไรมาจาก Gerald M.​ Loeb ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของการเก็งกําไรในหนังสือ The Battle for Investment Survival ดังนี้ คือ :

1) Trend is the most imporatant factor for speculation ( แนวโน้มเป็นปัจจัยสําคัญที่สุดในการเก็งกําไร )

2) Accept Losses Promply ( ตั้งจุด Stop Loss ที่สั้นและเร็ว ในกรณีที่ผิดทาง )

3) Let Profits Run ( ปล่อยให้กําไรวิ่ง ในกรณีที่ถูกทาง )

George Soros ประสบความสําเร็จและมีชื่อเสียงมากที่สุดในการเก็งกําไรค่าเงินปอนด์ในปี ค.ศ 1992 โดยได้กําไรทั้งสิ้น 2,000 ล้าน USD 

หมายเหตุ : โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้นได้ใน longtunbysak.blogspot.com

 


ศักดิ์