ยังคงสร้างประเด็นร้อนแรง สร้างความปั่นป่วนและคาดเดาไม่ได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ล่าสุดนี้ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน ทรัมป์ให้สัมภาษณ์สื่ออย่าง วอลล์สตรีต เจอร์นัล ว่า ค่าเงินดอลลาร์ "แข็งเกินไป" จนทำให้บริษัทอเมริกันไม่สามารถแข่งขันได้ พร้อมชี้นิ้วไปยังจีนว่า กดให้เงินหยวนอ่อนค่าเพื่อประโยชน์ในการส่งออก และอ้างว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้จีนพยายามพยุงค่าเงินหยวนเพราะไม่อยากให้สหรัฐโกรธ
บรรดานักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความเห็นของทรัมป์ต่อค่าเงินดอลลาร์ในครั้งนี้บ่งบอกเป็นนัยว่าทรัมป์ไม่ต้องการค่าเงินแข็ง ที่สำคัญนี่เป็นครั้งแรกที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐพูดชัดเจนว่าดอลลาร์แข็งเกินไป
"มาร์ก แชนด์เลอร์" นักยุทธศาสตร์อัตราแลกเปลี่ยนของบราวน์ บราเธอร์ส แฮร์ริแมน ระบุว่า ตามประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีมักจะหลีกเลี่ยงไม่พูดว่าดอลลาร์แข็งหรืออ่อน และหากย้อนไปถึงยุครัฐบาล "บิลคลินตัน" สมัยที่โรเบิร์ต รูบิน เป็นรัฐมนตรีคลัง ก็มีนโยบายนิยมดอลลาร์แข็งโดยตลอด อย่างไรก็ตามแชนด์เลอร์ไม่กล้าวิจารณ์ตรง ๆ ว่าคำพูดของทรัมป์หมายถึงการส่งสัญญาณ "ฆ่า" นโยบายดอลลาร์แข็งที่ดำเนินมาร่วม 2 ทศวรรษ
"แจ๊ก ลิว" รัฐมนตรีคลังในรัฐบาลโอบามา ที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง ให้ความเห็นต่อคำพูดของทรัมป์อ้อม ๆ ว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐดีกว่าประเทศอื่น ๆ ดังนั้นก็ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งโดยธรรมชาติ คล้ายกับจะสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นให้กับทรัมป์ว่า ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งอยู่นี้เป็นเพราะเหตุใด และคล้ายจะย้ำว่าเมื่อเศรษฐกิจของประเทศไหนดีก็เป็นธรรมดาที่ค่าเงินจะแข็ง ถ้าไปฝืนให้มีทิศทางตรงข้ามก็ย่อมแสดงว่าประเทศนั้นแทรกแซงบิดเบือนค่าเงิน
รัฐมนตรีคลังผู้นี้ยังกล่าวถึงจีนว่าจีนทำในสิ่งที่เป็นบวก "เรา (สหรัฐ) กดดันจีนไม่ให้ทำสิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับค่าเงินที่จะทำให้คนคิดว่าจีนควบคุมแทรกแซงค่าเงิน ผมคิดว่าที่จริงแล้วตอนนี้จีนกำลังปกป้องค่าเงินของพวกเขา ไม่ใช่กดให้มันต่ำลง"
นัยของแจ๊ก ลิว ก็คล้ายจะสอนมวยทรัมป์ว่า ที่ผ่านมาทรัมป์ได้ออกมาโจมตีว่า จีนกดค่าเงินให้อ่อนเกินจริงเพื่อประโยชน์ด้านส่งออกและขู่จะขึ้นบัญชีจีนว่าเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินแต่เหตุไฉนทรัมป์เองกลับทำในสิ่งที่ตนว่าคนอื่น นั่นคือออกมาพูดในทำนองว่า จากนี้ไปอยากทำให้ค่าเงินอ่อนเพื่อจะแข่งขันได้
ความเห็นของแจ๊ก ลิว สอดคล้องกับความเห็นของ "เบน เบอร์แนงคี" อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งตอบคำถามของนักข่าวที่สมาคมนักข่าวในวอชิงตัน ในประเด็นที่ทรัมป์จะใส่รายชื่อ "จีน" เป็นประเทศบิดเบือนค่าเงินว่า ข้อกล่าวหาของทรัมป์ไม่ตรงกับความเป็นจริง
เพราะปัจจุบันจีนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อไม่ให้ค่าเงินหยวนอ่อนมากกว่านี้
เบอร์แนงคีระบุด้วยว่าคงมีความขัดแย้งด้านการค้าเพียงเล็กน้อยระหว่างสหรัฐและจีน แต่ก็ไม่เชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าของโลกครั้งใหญ่ พร้อมกับเตือนว่า ระบบการค้าของสหรัฐนั้นมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐมาก เนื่องจากมีระบบห่วงโซ่อุปทานกว้างทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องอันตรายที่จะเข้าไปแทรกแซงการค้ามากเกินไป และหวังว่า (ทรัมป์) คงจะมีความระมัดระวังอย่างมากในกระบวนการนี้
คำวิจารณ์ของทรัมป์เรื่องดอลลาร์ ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ปรับลง 0.7% และส่งผลเสียต่อตลาดหุ้น (ซึ่งชอบดอลลาร์แข็ง) ทำให้ดัชนีแอสแอนด์พี 500 ลดลง 0.3% ขณะเดียวกันทำให้เงินหยวนแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์
และนับเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันแล้วที่ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับหยวนท่าทีต่อค่าเงินดอลลาร์ของทรัมป์ครั้งนี้นับว่าสวนทางกับความคาดหวังของนักลงทุนที่แต่เดิมเชื่อว่านโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยสูง และดอลลาร์แข็ง