สัปดาห์ทุบสถิติ! S&P500 ทะลุ 6000, DAX ทำ All-Time High โลกพร้อมเสี่ยงอีกครั้งหลังข่าวดีเศรษฐกิจ-การค้า | Podcast Available
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 2 – 6 มิถุนายน 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ตลาดการลงทุนทั่วโลกโลดแล่นราวกับเครื่องเล่นรถไฟเหาะตีลังกา แต่สุดท้ายก็ปิดฉากด้วยภาพรวมที่เป็นบวกอย่างน่าชื่นใจสำหรับนักลงทุนทั่วโลก เมื่อปัจจัยกดดันหลายอย่างผ่อนคลายลงและความหวังใหม่ๆ เริ่มปรากฏให้เห็น

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้ระหว่างสัปดาห์จะเผชิญดราม่าชวนใจหาย ไม่ว่าจะเป็นศึกน้ำลายระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับเจ้าพ่อเทสลา อีลอน มัสก์ ที่ทำเอาหุ้น Tesla ร่วงฮวบในวันพฤหัสบดี แต่พอถึงวันศุกร์ ตลาดก็กลับมายืนได้อย่างสง่างามจากแรงหนุนของข่าวเศรษฐกิจเชิงบวก
ดัชนี S&P500 สามารถปิดทะลุระดับ 6,000 จุด ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และจบสัปดาห์ด้วยการปรับตัวขึ้น 1.5% ขณะที่ Nasdaq ก็พุ่งแรงถึง 2.2% ในรอบสัปดาห์นี้ ถือเป็นการเดินหน้าขาขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกันของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ความเชื่อมั่นได้แรงหนุนหลักจากรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) เดือนพฤษภาคมของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งช่วยคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวลงได้มาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวน่ายินดีว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ เตรียมบินไปหารือกับจีนเรื่องข้อตกลงการค้าในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ตามคำกล่าวของทรัมป์เอง ส่งสัญญาณว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสองมหาอำนาจอาจเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง
บรรยากาศเชิงบวกเหล่านี้เปรียบเสมือนสิ่งที่ล่อตาล่อใจตลาด ทำให้มีแรงซื้อคืนกลับมาอย่างคึกคัก นักวิเคราะห์บางรายถึงกับเอ่ยว่าโมเมนตัมตอนนี้บ่งชี้ว่าฝ่ายกระทิงยังคงกุมบังเหียนตลาดไว้อย่างเหนียวแน่นค่ะ
เหตุการณ์ปะทะคารมระหว่างทรัมป์กับมัสก์ที่เกิดขึ้นกลางสัปดาห์ เปรียบไปก็เหมือนพายุฝนไต้ฝุ่นที่โหมเข้าใส่ Wall Street ในชั่วข้ามคืน หุ้น Tesla ร่วงลงถึง 15% ในวันเดียวจากประเด็นความขัดแย้งดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้วพายุนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะวันศุกร์หุ้น Tesla เด้งกลับขึ้นมา 3.8% ช่วยพยุงตลาดโดยรวมไม่ให้เสียการทรงตัว
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าแม้จะมีข่าวลบเข้ามา ตลาดหุ้นอเมริกาช่วงนี้ก็ยัง “หนังเหนียว” พอที่จะดูดซับแรงกระแทกได้ โดยมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายตัวที่ยังปรับขึ้นได้ดี (Amazon +2.7%, Alphabet +3.25% เป็นต้น) ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq สามารถทะยานขึ้นทำผลงานดีกว่าตลาดโดยรวม
ข้ามฝั่งมาที่ยุโรป ตลาดหุ้นหลักก็เขียวสดใสไม่แพ้กัน โดยรวมแล้วหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สองเช่นกันจากแรงส่งของข่าวดีฝั่งสหรัฐฯ และความคืบหน้าด้านการค้า ดัชนี STOXX600 ทั่วทั้งยุโรปขยับขึ้นอีก 0.9% ในรอบสัปดาห์ สะท้อนว่าความเชื่อมั่นกำลังฟื้นตัวหลังเคยสั่นคลอนจากประเด็นสงครามการค้า
ก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวเพิ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียมเป็นเท่าตัว ส่งผลให้หุ้นกลุ่มยานยนต์ยุโรปซึ่งต้องพึ่งพาวัตถุดิบโลหะเหล่านี้ปรับตัวลงตามคาด (ดัชนียานยนต์ยุโรปลดลงถึง 1.9% ในสัปดาห์นี้) แต่ในภาพรวม ตลาดกลับได้รับปัจจัยบวกอื่นมาชดเชย ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งช่วยคลายกังวลว่าพิษสงครามการค้าของทรัมป์อาจไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักอย่างที่กลัว อีกทั้งยังมีสัญญาณผ่อนคลายระหว่างสหรัฐฯ-จีนจากการที่ทรัมป์ยอมต่อสายตรงคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมวางคิวเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ในสัปดาห์ถัดไป สัญญาณเหล่านี้ทำให้นักลงทุนยุโรปใจชื้นขึ้นมาก
หันมาดูรายประเทศกันบ้าง อังกฤษถือเป็นตลาดที่โดดเด่นในยุโรปสัปดาห์นี้ ดัชนี FTSE 100 ของลอนดอนบวกต่อเนื่องจนทำสถิติปิดบวกได้ 6 วันรวด ใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและเหมืองแร่ทองคำที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งตามสถานการณ์โลก (หุ้น BAE Systems ยักษ์ใหญ่ด้านกลาโหมของอังกฤษมีมูลค่าบริษัทแซงหน้า BP บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ไปแล้ว)
ขณะเดียวกัน การที่ตลาดหุ้นอังกฤษมีหุ้นเทคโนโลยีจดทะเบียนน้อย ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากหุ้นกลุ่ม Tech เหมือนฝั่งสหรัฐฯ ตรงกันข้าม หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ของอังกฤษอย่าง Standard Chartered, HSBC และ Barclays กลับพากันดีดตัวขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ หลังความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวบรรเทาลงจากข้อมูลจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีเกินคาด
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยในประเทศอย่างข่าวว่ารัฐบาลอังกฤษเตรียมทบทวนงบประมาณ (Spending Review) ในสัปดาห์ถัดไป ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยหนุนตลาดหุ้น
เยอรมนี เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ดัชนี DAX ของตลาดแฟรงก์เฟิร์ตทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในวันพุธที่ 4 มิ.ย. โดยปิดที่ระดับ 24,340 จุด ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมเล็กน้อย ต้องบอกว่าตลาดหุ้นเยอรมันปีนี้ร้อนแรงจริงๆ
ตั้งแต่ต้นปีมา DAX พุ่งขึ้นแล้วกว่า 22% ซึ่งโดดเด่นกว่าดัชนีหุ้นยุโรปภาพรวมที่ขึ้นมาไม่ถึง 10% ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากหุ้นบลูชิพเยอรมันหลายตัวที่ผลประกอบการออกมาดี และนักลงทุนต่างชาติเข้าเก็งกำไรเยอรมันในฐานะ “หลุมหลบภัย” จากความผันผวนเอเชีย
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้ก็มีประเด็นให้ต้องระวังคือ นโยบายการเงินยุโรปที่เริ่มส่งสัญญาณเปลี่ยนทิศเล็กน้อย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) แม้จะประกาศลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่ถ้อยแถลงของประธานคริสติน ลาการ์ดกลับออกไปทาง “สายเหยี่ยว” กล่าวคือส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางอาจใกล้ยุติวงจรการผ่อนคลายแล้ว ทำให้ตลาดลดความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต
บอนด์ยีลด์ยุโรปขยับขึ้นทันทีหลังข่าวนี้ กระทบจิตวิทยาหุ้นบางส่วน แต่โชคดีที่แรงซื้อจากความหวังด้านการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีมากพอจะประคองตลาดยุโรปให้ปิดสัปดาห์ในแดนบวกได้ถ้วนหน้า
หันมาฝั่งเอเชีย ตลาดหุ้นหลักก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่ดัชนี Nikkei 225 ยังคงไต่ระดับขึ้นใกล้จุดสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ ปิดสัปดาห์นี้ที่ราว 37,700 จุด หลังจากบวกเพิ่มอีกประมาณ 0.5% ในวันศุกร์ เบื้องหลังความร้อนแรงของตลาดหุ้นญี่ปุ่นมาจากหลายปัจจัย ทั้งผลกำไรบริษัทญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง (ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งขึ้นมาอยู่ที่เกือบ ¥145 ต่อ 1 ดอลลาร์แล้ว ยิ่งหนุนกำไรบริษัทส่งออกญี่ปุ่น) และฟันด์โฟลว์จากต่างชาติที่มองหาตลาดที่เสถียรกว่าในช่วงสงครามการค้าก็ไหลเข้าโตเกียวอย่างต่อเนื่อง
เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบันเองยังเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเปิดประเทศรับท่องเที่ยวเต็มสูบ ทำให้บรรยากาศลงทุนในตลาดญี่ปุ่นคึกคัก นักลงทุนต่างชาติบางส่วนมองญี่ปุ่นเป็นเสมือน “หลุมหลบภัย” จากความผันผวนของตลาดจีนในช่วงที่ผ่านมาด้วย
สำหรับจีนนั้น ตลาดหุ้นยังแกว่งตัวในกรอบแคบๆ สะท้อนท่าทีระมัดระวังของนักลงทุนจีนต่อมรสุมข่าวสารรอบด้าน อย่างไรก็ดี หากดูให้ดีจะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่สามารถปิดบวกเล็กน้อยได้ในสัปดาห์นี้ โดยดัชนี Shanghai Composite ของตลาดเซี่ยงไฮ้ขยับขึ้นราว +1.13% เมื่อเทียบรายสัปดาห์ ส่วน Shenzhen Component ก็ขึ้น +1.42% ในสัปดาห์เดียวกัน ตรงกันข้ามกับฮ่องกงที่ดีดตัวแรงกว่า โดยดัชนี Hang Seng ของตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งขึ้นถึง +2.2% ในรอบสัปดาห์ แม้ว่าวันศุกร์จะย่อลงเล็กน้อยก็ตาม
สาเหตุหลักที่ช่วยหนุนตลาดจีนและฮ่องกงปลายสัปดาห์มาจากข่าวการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับประธานาธิบดีทรัมป์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามการค้าเริ่มปะทุเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้นำจีนได้ใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย “นำความสัมพันธ์กลับสู่ทิศทางที่ถูกต้อง” พร้อมเปรียบเปรยว่าขณะนี้ความสัมพันธ์เหมือนเรือที่ออกนอกเส้นทางและต้องหันกลับมาใหม่
ซึ่งหลังตลาดเอเชียปิดทำการ ทรัมป์ก็ออกมาเผยว่าสหรัฐฯ และจีนตกลงจะกลับมาเจรจาการค้ากันใหม่ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ที่กรุงลอนดอน ข่าวนี้เสมือนสายรุ้งหลังฝนที่ช่วยให้ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงมีความหวังว่าข้อพิพาททางการค้าอาจยุติลงได้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี บรรยากาศในหมู่นักลงทุนจีนยังคงไม่ถึงกับดีใจเกินเหตุ ท่าทีของตลาดออกไปทาง “ใจเย็นดูเชิง” เสียมากกว่า จะเห็นว่าแม้มีข่าวดีแต่ดัชนีเซี่ยงไฮ้ก็ขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่านักลงทุนจีนยังรอบคอบ เพราะตลาดโลกยังผันผวนสูงและเต็มไปด้วยข่าวดีร้ายสลับกันไปมา หลายคนเลยเลือกที่จะถือเงินสดรอดูท่าทีไปก่อน
นอกจากนี้ อย่าลืมว่ารัฐบาลปักกิ่งเองก็มีบทบาทสำคัญในการพยุงตลาดช่วงนี้ โดยตั้งแต่ช่วงเมษายนที่หุ้นจีนดิ่งหนักจากข่าวทรัมป์ขึ้นภาษี 34% ใส่จีน (จีนตอบโต้ด้วยภาษี 34% เช่นกัน) รัฐบาลจีนก็ส่งสัญญาณชัดว่าจะไม่ยอมให้ตลาดหุ้นทรุดไปมากกว่านี้ ทั้งผ่านกองทุนความมั่งคั่ง (Central Huijin) ที่เข้าไปซื้อ ETF หุ้นจีน และกระตุ้นให้บรรดารัฐวิสาหกิจจีนประกาศซื้อหุ้นคืนเพื่อพยุงราคาหุ้นตัวเอง
มาตรการเหล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมหนุนหลังตลาดหุ้นจีน ทำให้แรงขายเริ่มแผ่วลง นักวิเคราะห์บางรายมองว่าตลาดจีนช่วงนี้จึงออกอาการ “นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว” รอดูว่าสงครามการค้ากับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะออกหน้าไหนก่อนค่อยลงทุนมากขึ้น
ตรงข้ามกับจีน ตลาดหุ้นอินเดียกลับคึกคักจากปัจจัยบวกภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยสัปดาห์นี้ดัชนี Nifty 50 และ BSE Sensex ของอินเดียปรับตัวขึ้นราว 1% ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียหยุดสถิติขาลงต่อเนื่องสองสัปดาห์ก่อนหน้าได้สำเร็จ
เบื้องหลังความแรงครั้งนี้มาจาก “หมัดเด็ด” ของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ที่ปล่อยออกมาเกินความคาดหมายของตลาด โดย RBI ตัดสินใจหั่นดอกเบี้ยนโยบายลงทีเดียว 0.50% (นักวิเคราะห์คาดไว้แค่ 0.25%) พร้อมทั้งลดอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคาร (CRR) ลง 1% อัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบธนาคารอินเดียมหาศาล และประกาศเปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินจาก “ผ่อนปรน” เป็น “เป็นกลาง” เพื่อส่งสัญญาณสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเต็มที่
มาตรการชุดใหญ่นี้เรียกได้ว่าเป็น “เซอร์ไพรส์เชิงบวก” ที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนอินเดียให้กลับมาอย่างรวดเร็ว หุ้นในกลุ่มธนาคารและการเงินที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงทะยานขึ้นทันที พาให้บรรยากาศตลาดหุ้นมุมไบกลับมาคึกคัก ดัชนี Nifty และ Sensex ที่เคยซึมมา 2 สัปดาห์ก็พลิกกลับมายืนในแดนบวกอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวนี้ยืนยันคำกล่าวที่ว่า “อย่าต่อกรกับธนาคารกลาง” (Don’t fight the central bank) ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อผู้คุมเกมการเงินอย่าง RBI ลงมือเอง นักลงทุนน้อยใหญ่ก็พร้อมใจกันเดินตามแนวทางนั้นอย่างไม่ลังเล
นอกจากปัจจัยในประเทศแล้ว ปัจจัยนอกประเทศอย่างความหวังการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนก็ช่วยเสริมแรงซื้อหุ้นอินเดียเช่นกัน (กลางสัปดาห์ตลาดหุ้นอินเดียรีบาวด์ขึ้นทันทีเมื่อมีข่าวคืบหน้าด้านการค้าและคาดการณ์ว่า RBI จะลดดอกเบี้ย) ถือเป็นจังหวะที่ทั้งลมส่งนอกและลมส่งในช่วยพัดพาตลาดหุ้นอินเดียให้กลับมาผงาดได้ในสัปดาห์นี้
ในฟากของเวียดนาม หลังจากตลาดหุ้นฮานอยวิ่งขึ้นฉลุยมาถึง 4 สัปดาห์ติดต่อกันเข้าสู่เขต 1,300 จุด ที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นระดับที่มูลค่าหุ้นเริ่มตึงตัว
สัปดาห์นี้ดูเหมือนตลาดจะเริ่มแผ่วลงและเกิดแรงชักเย่อระหว่างแรงซื้อแรงขายค่อนข้างสูสี ดัชนี VN-Index มีจังหวะผันผวนขึ้นลงสลับกันไป และสุดท้ายปิดสัปดาห์ปรับลดลงเล็กน้อยราว -0.2% เท่านั้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ถือว่าเกือบจะทรงตัว แสดงถึงแรงซื้อที่ยังพยุงตลาดไว้ได้พอสมควร
ปัจจัยหนึ่งที่สร้างแรงกดดันให้กับ sentiment ของตลาดเวียดนามคือ รายงานข่าวว่าสหรัฐฯ กำลังเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลเวียดนามในการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งนักลงทุนกลัวกันว่าเวียดนามอาจโดนหางเลขสงครามการค้าจากทรัมป์ไปด้วย (ด้วยความที่เวียดนามเกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูง) บรรยากาศเชิงลบนี้ทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาในหุ้นบางกลุ่มหลังตลาดปรับขึ้นมาหลายสัปดาห์ติดกัน
อย่างไรก็ตาม แรงซื้อจากนักลงทุนภายในประเทศที่ยังเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนาม รวมถึงกระแสเงินทุนต่างชาติที่ยังคงไหลเข้า (แม้เริ่มชะลอบ้าง) นั้นช่วยพยุงไม่ให้ตลาดปรับฐานแรง เท่ากับว่าตลาดเวียดนามได้ “พักเหนื่อย” เล็กน้อยในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งเลือกชะลอความคาดหวังระยะสั้นลงและจับตาปัจจัยภายนอกอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจอีกครั้ง
ดังนั้นเมื่อดูภาพรวมแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์นี้เหมือนจะถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆ กันหลังต้องเผชิญความตึงเครียดมาหลายเดือน ดัชนีหุ้นโลก MSCI World ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นราว +1.5% ในสัปดาห์เดียว สอดคล้องกับการปรับขึ้นของตลาดหุ้นแทบทุกภูมิภาค ถือเป็นสัญญาณว่านักลงทุนหันมากล้าเสี่ยง (Risk-on) อีกครั้ง
แต่ท่ามกลางบรรยากาศสดใสนี้ ตลาดฝั่งพันธบัตรกลับส่งสัญญาณที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ดีดตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปลายสัปดาห์ โดยได้รับผลจากตัวเลขจ้างงานที่ออกมาดีเกินคาดทำให้นักลงทุนเทขายพันธบัตร (ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย) แล้วหมุนเงินกลับไปลุยสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จนทำให้อัตราผลตอบแทนบอนด์ 10 ปีของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 11 จุดพื้นฐาน (0.11%) ในวันศุกร์มาอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5%
ระดับยีลด์นี้ถือว่าสูงที่สุดในรอบหลายเดือน สะท้อนการปรับมุมมองของตลาดที่เริ่มเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งและธนาคารกลาง (Fed) อาจจะไม่รีบลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ หลังข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ตลาดแรงงานยังอุ่นเครื่องอยู่ แม้อัตราการว่างงานคงที่ที่ 4.2% แต่ว่าการเติบโตของค่าจ้างแรงงานออกมาร้อนแรงเกินคาด ซึ่ง “ไม่น่าเพียงพอจะโน้มน้าวให้ Fed ลดดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้” ตามความเห็นของนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ สัญญาณเชิงนโยบายก็ยืนยันแนวโน้มดังกล่าว โดยล่าสุดบรรดาเจ้าหน้าที่ Fed ส่วนใหญ่ยังย้ำจุดยืนรอดูท่าที (wait-and-see) โดยประเมินว่าสงครามการค้าเพิ่มความไม่แน่นอนทั้งต่อการเติบโตและเงินเฟ้อ จึงจำเป็นต้องดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนค่อยปรับลดดอกเบี้ย (ตลาดล่วงหน้าคาดการณ์ว่า Fed จะยังไม่ลดดอกเบี้ยก่อนเดือนกันยายนหรืออาจยาวไปถึงตุลาคมเลยทีเดียว)
ด้านธนาคารกลางอื่นๆ ก็เริ่มชะลอการผ่อนคลายเช่นกันอย่างที่กล่าวไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ เงินทุนบางส่วนจึงโยกออกจากตลาดบอนด์ มุ่งหน้าไปตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ราคาพันธบัตรตกและอัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้นทั่วทั้งกระดาน
ในส่วนของราคาทองคำซึ่งปกติจะเคลื่อนไหวสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจ (ขึ้นเวลาตลาดกลัว-ลงเวลาเศรษฐกิจดี) ก็ปรับตัวตามกลไกดังกล่าวเช่นกัน เมื่อความหวังต่อเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาและเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำจึงเผชิญแรงขายทำกำไร
สัปดาห์นี้ราคาทองคำปรับตัวลงโดยราคาทองคำสปอตปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่แถวๆ 3,346 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การอ่อนตัวของราคาทองครั้งนี้สะท้อนว่าความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเริ่มแผ่วลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดกังวลสงครามการค้าเต็มที่
แม้ในช่วงต้นสัปดาห์ทองคำอาจได้รับแรงหนุนเล็กน้อยจากข่าวลบ (เช่น ความขัดแย้งทรัมป์-มัสก์หรือข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ยังซบเซา) แต่พอถึงช่วงปลายสัปดาห์ ความเชื่อมั่นที่ฟื้นกลับมาก็กลบปัจจัยเหล่านั้นจนหมด นักลงทุนบางส่วนย้ายเงินออกจากทองคำเพื่อไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงแทน
อีกทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังสูงก็เพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสของการถือทองมากขึ้น ทำให้ทองคำดูน่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงเป็นที่จับตาของนักลงทุนสายอนุรักษ์นิยม หลายคนมองว่าหากสถานการณ์การค้ากลับมาตึงเครียดใหม่หรือเศรษฐกิจมีแววสะดุด ราคาทองคำก็พร้อมจะเปล่งประกายกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ปิดท้ายที่ตลาดน้ำมันดิบ ซึ่งสัปดาห์นี้มีสีสันไม่แพ้ตลาดทุนอื่นๆ ราคาน้ำมันพลิกกลับมาพุ่งแรง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ร่วงลงสองสัปดาห์ต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นเรื่องอุปสงค์น้ำมันที่กลับมา ประกอบกับการควบคุมกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโอเปกพลัส สร้างแรงส่งเชิงบวกให้น้ำมันดิบโดยตรง
โดยในวันศุกร์ราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ WTI พุ่งขึ้นกว่า 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเมื่อปิดสัปดาห์ปรากฏว่าทั้งคู่สามารถทำผลตอบแทนเป็นบวกสัปดาห์แรกในรอบ 3 สัปดาห์ได้สำเร็จ โดยน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นราว +4.3% ในสัปดาห์นี้ ส่วน WTI ทะยานขึ้นถึง +6.6% เมื่อเทียบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ถือว่า WTI ฟื้นตัวได้แรงจนราคากลับขึ้นมายืนที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบสองเดือนเลยทีเดียว
ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันหลักๆ มีสองด้าน ด้านแรกคือ อุปสงค์ (Demand) ที่แนวโน้มดีขึ้นชัดเจน ความหวาดหวั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยเริ่มลดลงหลังเห็นตัวเลขจ้างงานที่เรียกได้ว่า “กำลังพอดี” ไม่ร้อนแรงเกินไปจนน่ากลัวเงินเฟ้อ แต่ก็ไม่เย็นเฉียบถึงขั้นชี้เศรษฐกิจทรุด (“Goldilocks”) สถานการณ์แบบนี้ทำให้นักลงทุนหวังว่า Fed อาจจะพิจารณาลดดอกเบี้ยตามคำเรียกร้องของทรัมป์ภายในปีนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันไปด้วยพร้อมกัน
อีกด้านหนึ่ง ความคืบหน้าบนโต๊ะเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนก็สร้างความหวังว่าการค้าระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่จะกลับมาคึกคัก ลดความเสี่ยงที่สงครามการค้าจะฉุดการเติบโตทั่วโลก (ซึ่งที่ผ่านมาเป็นปัจจัยลบกดดันอุปสงค์น้ำมัน) เมื่อสองความหวังด้านอุปสงค์นี้มารวมกัน จึงช่วยพลิกภาพตลาดน้ำมันจากหมีเป็นกระทิงได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนด้านที่สองคือ อุปทาน (Supply) ที่ตลาดรับรู้ข่าวดีเช่นกัน โดยในการประชุมล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) มีมติคงแผนการเพิ่มกำลังผลิตเพียง 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคม ตามมติเดิมเท่านั้น และไม่ได้เพิ่มกำลังผลิตมากไปกว่านั้นตามที่ซาอุดีอาระเบียเคยเสนอไว้ การตัดสินใจนี้ตีความได้ว่ากลุ่มโอเปกพลัสยังคงตั้งใจรักษาสมดุลไม่ให้น้ำมันล้นตลาด (เน้นประคับประคองราคามากกว่าชิงส่วนแบ่งตลาดในระยะสั้น)
ทางด้าน HSBC วิเคราะห์ว่าสถานการณ์ตลาดน้ำมันไตรมาส 2-3 ปีนี้น่าจะอยู่ในภาวะ “พอดี” คือ อุปสงค์ฤดูร้อนที่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดช่วง ก.ค.-ส.ค. น่าจะถูกดูดซับไว้ด้วยอุปทานที่เพิ่มขึ้นจำกัดตามโควต้าโอเปกพลัส หรือพูดง่ายๆ คือ ซัพพลายที่เพิ่มช้าๆ พอเหมาะกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น เท่ากับไม่มีน้ำมันล้นตลาดให้ราคาตกนั่นเอง
₿ ท้ายสุดแต่สำคัญไม่แพ้กัน ต้องกล่าวถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่ขอมีส่วนร่วมกับเค้าด้วยในสัปดาห์นี้ ทางด้าน Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลหมายเลขหนึ่งของโลกกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง โดยราคาพุ่งขึ้นราว +3.8% ในช่วงปลายสัปดาห์ แตะระดับประมาณ 104,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญซึ่งถือเป็นการกลับมายืนเหนือหลักไมล์สำคัญที่ 100,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้งหนึ่ง
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเหมือนภาพสะท้อนกระจกของตลาดหุ้น กล่าวคือ เกิดจากกระแสเงินลงทุนที่กล้าเสี่ยงไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อความกลัวสงครามการค้าบรรเทาลง นักลงทุนก็พร้อมกลับมาเก็งกำไรสินทรัพย์ทางเลือกกันอีกระลอก
สรุปภาพรวมตลอดสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2025 นี้ ตลาดการลงทุนทั่วโลกได้กลับมาส่งยิ้มให้กับนักลงทุนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากต้องเผชิญหน้ากับสารพัดปัจจัยลบมากดดันนานหลายเดือน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่กลับมาคึกคักทั่วโลก น้ำมันที่ดีดตัวแรง หรือ Bitcoin ที่กลับมาทะยานอย่างมีชีวิตชีวา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความหวังใหม่ว่าสงครามการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจอาจคลี่คลายลงได้ในที่สุด แน่นอนว่าความเสี่ยงต่างๆ ยังไม่หายไปไหนอย่างสมบูรณ์ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและชาติอื่นๆ ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ต้องติดตาม และโลกยังคงมี “กับระเบิด” ทางเศรษฐกิจซ่อนอยู่หลายจุด แต่สัปดาห์นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่ข่าวดีเริ่มปรากฏ เมื่อนั้นตลาดทุนก็พร้อมจะตอบสนองในเชิงบวกและมอบรางวัลให้แก่ความอดทนของนักลงทุนเสมอค่ะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก.. เพจ Beauty Investor