ห้องเม่าปีกเหล็ก

จับตา 10 เทรนด์การค้าโลก

โดย stock-news
เผยแพร่ :
77 views

 

 
ปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และภาคธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งโอกาสมหาศาลสำหรับผู้ที่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที แต่ก็นำมาซึ่งขวากหนามสำหรับธุรกิจที่รับมือไม่ทัน ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจไทยต่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จึงได้นำเสนอ Trends หรือ “กระแสใหม่” ของโลกในปี 2560 ที่ธุรกิจต้องจับตาและเตรียมรับมือ
 
 
เทรนด์แรก ที่มาแรงแซงโค้งคือ การปกป้องทางการค้า (Protectionism) ซึ่งเห็นได้ชัดเจนหลัง Donald Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจสุดโต่งของเขาคือ “แนวคิด America First” ที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ สร้างกำแพงภาษีนำเข้า และมาตรการตอบโต้ประเทศที่แทรกแซงค่าเงินตัวเองเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะจีน โดยสิ่งที่น่ายินดีคือท่าทีของ Trump ดูอ่อนลงหลังจากเข้ารับตำแหน่ง แต่ถึงอย่างนั้น ธุรกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจีน อาจต้องเตรียมรับมือไว้บ้าง ด้วยการมองหาตลาดใหม่และเน้นการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น
 
เทรนด์ที่ 2 การใช้การลงทุนนำการค้า (Investment-induced Trade) จากภาคการค้าโลกที่อ่อนแรงต่อเนื่อง และมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งจากมาตรการปกป้องทางการค้าและนโยบายปรับสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจของหลายประเทศ ที่หันมาเน้นบริโภคภายในมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเทรนด์การขยายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อสร้างฐานการผลิตและตลาดการค้าแห่งใหม่ โดย EXIM BANK มองว่าโลกการค้ายุคใหม่ การลงทุนมีแนวโน้มจะทวีบทบาทสำคัญมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเพิ่มขีดศักยภาพของธุรกิจเพื่อให้เติบโตไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ
 
เทรนด์ที่ 3 การค้ายุคใหม่ที่เน้นซื้อขายบนอินเทอร์เน็ต (Online Marketplace) เพราะเชื่อว่า มูลค่าการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ต (E-Commerce) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 2.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ นี่จึงเป็นเหตุให้ปีที่ผ่านมา Jack Ma ยอมทุ่มเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อ Lazada ขณะที่ตลาด E-Commerce ปี 2559 ของไทย คาดว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของมูลค่าซื้อขายสินค้าและบริการทั้งหมด และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเกิน 50% ในอีกไม่ช้า เพราะดูเหมือนยักษ์ใหญ่ในธุรกิจรีเทลต่างก็มุ่งหน้าสู่เทรนด์นี้
 
เทรนด์ที่ 4 เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ซึ่งเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจมากขึ้นแทนการทำธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบเดิม เข้ามาเปลี่ยนโฉมโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และทำให้เกิดบริการทางการเงินใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเตรียมเข้าสู่ Cashless Society ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก สิ่งที่ธุรกิจไทยควรทำ คือต้องตระหนักรู้ถึงกระแสโลกที่เปลี่ยนไป แล้วนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสม
 
เทรนด์ที่ 5 เศรษฐกิจแบ่งปันผ่านช่องทางออนไลน์ (Sharing Economy) จากการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าหากันก่อให้เกิดธุรกิจที่มาจากการแลกเปลี่ยนการบริโภค ระหว่างกลุ่มผู้มีทรัพยากรที่มากเกินจำเป็นหรือไม่ค่อยได้ใช้ที่ต้องการแบ่งปันให้กับ ผู้ที่ต้องการใช้ทรัพยากรดังกล่าวในช่วงเวลาหนึ่ง กับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการเข้าถึงสินค้าและบริการด้วยการเช่า-ยืม แทนการซื้อไว้เพื่อครอบครอง จึงเกิดการแชร์ทรัพยากรผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น และเกิดเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ผ่านการให้บริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Uber, Airbnb เป็นต้น โดย PwC บริษัทวิจัยชั้นนำคาดว่ามูลค่าธุรกิจ Sharing Economy ในปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 11 ล้านล้านบาท จาก 5 แสนล้านบาทในปี 2557
 
เทรนด์ที่ 6 กลยุทธ์เชื่อมโยงและบูรณาการผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างครบวงจร (Business Ecosystem) เพื่อที่เมื่อลูกค้าใช้สินค้า/บริการของบริษัท ก็จะเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศ (Ecosystem) ของบริษัท ทำให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างครบถ้วน และถ้าบริษัทมีสินค้า/บริการอื่น ลูกค้าก็จะมีความสะดวกสบายในการใช้สินค้า/บริการเนื่องจากความเชื่อมโยงและบูรณาการระหว่างสินค้า/บริการของบริษัท ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัท Apple ที่เชื่อมโยงสินค้า/บริการแต่ละชนิดเข้าด้วยกัน ทั้งในแง่ระบบปฏิบัติการและลักษณะการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มจะใช้สินค้า Apple หลายชนิดร่วมกัน ทั้ง iPod, iPhone, iPad และ MacBook
 
เทรนด์ที่ 7 Robots, Drones and Automation เทคโนโลยีการผลิตเหล่านี้ถูกนำมาใช้มากขึ้นในกระบวนการผลิตเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดค่าใช้จ่าย โดยโรงงานของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่งนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่แค่ในโรงงานผลิต ปัจจุบันมีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในธุรกิจบริการและใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นด้วย มีการคาดการณ์ว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะมีงานกว่า 95 ล้านตำแหน่งที่หุ่นยนต์จะเข้าแทนที่มนุษย์
 
เทรนด์ที่ 8 การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต (Innovating to Zero หรือ Zero Waste) เพื่อลดต้นทุนการผลิตและสอดคล้องกับกระแสห่วงใยสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ธุรกิจต้องติดตาม เข้าใจนำมาพัฒนา และประยุกต์ใช้ เพราะในอนาคต ธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจถูกกีดกันให้ออกจากโลกการค้าหรือทำธุรกิจได้ยากจากทั้งข้อบังคับทางกฎหมาย และแรงกดดันจากผู้บริโภค
 
เทรนด์ที่ 9 ไลฟ์สไตล์ดิจิทัล (Smart Lifestyle) เมื่อยุคแห่งสังคมเมือง (Ur-banization) เติบโตขึ้น ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องเร่งรีบมากขึ้น การนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในด้านต่างๆ จึงได้รับความนิยมแพร่หลาย อาทิ การสั่งอาหารผ่านระบบออนไลน์ การเรียกรถโดยสารผ่านแอพพลิเคชั่น การควบคุมอุปกรณ์ทุกอย่างภายในบ้านผ่านสมาร์ตโฟนได้จากทุกที่ ทุกเวลา ฯลฯ ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปผูกติดกับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่นี้
 
เทรนด์สุดท้ายสินค้าและบริการเพื่อสังคมสูงวัย (Elderly Care Products) เนื่องจากสัดส่วนประชากรสูงอายุกำลังเพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งไทย จึงกลายเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อมาตอบสนองโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ ซึ่งผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่เป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อและมีความพอใจที่จะใช้จ่ายเพื่อให้ได้คุณภาพชีวิตที่ดี
 
 
จะเห็นว่าเทรนด์เหล่านี้ หลายเรื่องอยู่ใกล้ตัวมากกว่าหลายคนคิด แต่เทรนด์เหล่านี้จะกลายเป็นโอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับธุรกิจ ย่อมขึ้นอยู่กับความพร้อมในการรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และจงจำไว้ว่า ผู้ที่ก้าวทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงได้มากเท่าไร ก็จะสามารถคว้าโอกาสมาได้ก่อนใคร ...มากขึ้นเท่านั้น!
 

- ที่มา moneychannel


stock-news