ห้องเม่าปีกเหล็ก

ธงเหลืองจากโลกการเงิน: เมื่อ Moody’s เริ่มไม่แน่ใจในอนาคตไทย

โดย หยินหยาง
เผยแพร่ :
78 views

ธงเหลืองจากโลกการเงิน: เมื่อ Moody’s เริ่มไม่แน่ใจในอนาคตไทย

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2568 มูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี แม้จะยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับ Baa1 และตราสารหนี้ต่างประเทศที่ระดับ Prime-2 แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงสัญญาณทางเทคนิค หากสะท้อน “ความกังวลเชิงโครงสร้าง” ที่กำลังสะสมลึกและกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

มูดี้ส์เคยปรับมุมมองไทยเป็นเชิงลบมาแล้วในปี 2551 ช่วงวิกฤตซับไพรม์ และกลับมาเป็นเสถียรภาพในปี 2553 การเปลี่ยนแปลงรอบนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่... แต่เป็นการตั้งคำถามซ้ำว่า ไทยยังสามารถรักษาศรัทธาจากนักลงทุนระหว่างประเทศไว้ได้หรือไม่?

อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้?

คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในตัวเลขงบประมาณหรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ซ่อนอยู่ใน “โครงสร้าง” ของเศรษฐกิจ การคลัง และการเมืองไทย ที่กำลังถูกโลกประเมินใหม่ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

 

 

สัญญาณเตือนกลางคลื่นใหม่ของความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

การที่ Moody’s ปรับแนวโน้มเป็น “เชิงลบ” แม้ยังไม่ลดอันดับเครดิต เป็นสัญญาณเตือนกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนเร็ว — เงินทุนไหลเร็ว ดอกเบี้ยสูง และการแข่งขันดึงดูด FDI เข้มข้น ประเทศอย่างมาเลเซีย (A3/Stable) และอินโดนีเซีย (Baa2/Stable) เริ่มถูกมองว่าน่าดึงดูดยิ่งกว่าไทย โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพ ปี 2567 โตเพียง 2.5% และปี 2568 IMF คาดโตเพียง 1.8% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน

นี่คือคำเตือนล่วงหน้า ว่าไทยอาจหลุดจากกลุ่มประเทศที่โลก “ไว้ใจ” หากไม่เร่งปรับตัว

 

การคลังอ่อนแรงในวันที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น

ดุลการคลังปี 2568 ขาดดุลกว่า 3.75 แสนล้านบาท — หากเงินนี้ถูกใช้เพื่อสร้างศักยภาพใหม่ของประเทศ อาจไม่ใช่ปัญหา แต่หนี้สาธารณะกลับเพิ่มเร็ว จาก 41.2% ของ GDP ในปี 2562 เป็น 63.8% ในปี 2567 ขณะเดียวกัน รายจ่ายประจำยังสูงกว่ารายจ่ายลงทุนอย่างต่อเนื่อง

“การขาดดุล” จึงกลายเป็น “ภาระสะสม” มากกว่าจะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต และสะท้อนวินัยการคลังที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

เสถียรภาพทางการเมือง = เงื่อนไขสำคัญของการฟื้นความเชื่อมั่น

Moody’s ชี้ชัดถึง “ความไม่แน่นอนทางการเมือง” และ “การปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ยังไม่คืบหน้า” ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันความเชื่อมั่นของตลาด แม้มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต แต่เมื่อไม่มีความชัดเจนเรื่องแหล่งงบประมาณหรือเป้าหมายระยะยาว ก็ยังไม่ได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุน

โลกไม่ได้รอฟังแค่นโยบายใหม่ แต่ต้องการเห็นนโยบายที่ “ดำเนินได้จริง” อย่างต่อเนื่อง มีเอกภาพ และพาประเทศออกจากกับดักความไม่แน่นอนได้

 

จากเสถียรภาพสู่ความสามารถในการแข่งขัน

ผลกระทบจากมุมมองเชิงลบ ไม่ได้จบแค่ภาพลักษณ์หรือการเมืองเท่านั้น หากลามไปสู่ “ต้นทุนทุน” ของระบบเศรษฐกิจทั้งวงจร

อันดับเครดิตคือหนึ่งในปัจจัยหลักที่กำหนด “ต้นทุนทางการเงิน” ของทั้งรัฐบาลและเอกชน หากอันดับถูกลด ดอกเบี้ยพันธบัตรจะสูงขึ้น ต้นทุนกู้ยืมของธุรกิจเอกชนก็จะตามมา ขณะที่คู่แข่งในภูมิภาค เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย ต่างเร่งสร้างจุดขายใหม่เพื่อดึงดูดการลงทุน ตั้งแต่ EV พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

ขณะที่ไทยยังไม่มีแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวที่สร้างความได้เปรียบใหม่ นี่คือความเสี่ยงในโลกที่แข่งขันด้วย “ความน่าเชื่อถือ” ไม่ใช่แค่ทรัพยากร

 

บททดสอบของความน่าเชื่อถือ: รัฐบาลต้องเดินหน้าอย่างมีวินัยและเชิงรุก

สิ่งที่โลกต้องการเห็นจากไทยไม่ใช่เพียง “งบกระตุ้นระยะสั้น” แต่คือ วินัยการคลังระยะยาว พร้อมการลงทุนในอนาคต เช่น พลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ ระบบดิจิทัลและ AI รวมถึงการปฏิรูประบบภาษีให้เท่าทันเศรษฐกิจยุคใหม่

การรักษาอันดับ Baa1 ต้องเกิดจากการตัดสินใจที่กล้าหาญ มีทิศทางชัดเจน และไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

หากไทยไม่สามารถใช้เงินที่กู้มาเพื่อสร้างศักยภาพระยะยาวได้… การถูกลดอันดับเครดิตจริงในรอบหน้า คงไม่ใช่แค่ “ความเป็นไปได้” แต่จะกลายเป็น “ความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

 

บทสรุป: เสียงสะท้อนจากภายนอก คือกระจกสะท้อนความจริงภายใน

การถูกปรับมุมมองเครดิตคือเสียงเตือนที่ดังพอสำหรับทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล นักการเมือง นักวางแผน และภาคเอกชน ว่าความน่าเชื่อถือของประเทศไม่ใช่สิ่งที่ได้มาฟรี ๆ แต่ต้องแลกมาด้วย การตัดสินใจที่กล้าหาญ การสื่อสารที่ชัดเจน และนโยบายที่เดินหน้าอย่างมีวินัยและต่อเนื่อง

ในโลกที่ความเสี่ยงไม่รอใคร เราอาจไม่มีโอกาสให้ “สอบซ่อม” อีกครั้ง หากสอบตกในรอบหน้า

เพราะในโลกที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน “ความน่าเชื่อถือ” คือ ทุนสำคัญที่สุด ที่ไม่มีใครมอบให้... แต่เราต้องพิสูจน์ว่า ประเทศไทยยัง ‘น่าเชื่อถือ’ พอสำหรับโลกที่ไม่หยุดรอใคร

.

เรื่องและภาพ: กรรวี วงษ์ศิริเลิศ Economist, Bnomics

 


หยินหยาง